วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิมพ์ “วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการด้านนิติศาสตร์หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับทางนิติศาสตร์ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจและ มีคุณค่าทั้งในด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ในรูปแบบของวารสารทางวิชาการ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้บุคคล ทั้งภายในและภายนอกสามารถนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะได้อีกด้วย</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong></p> <p>การจัดพิมพ์วารสารนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์จะจัดพิมพ์ปีละ 4 ครั้ง ราย 3 เดือน ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br />ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br />ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p> th-TH <p>ผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสารนิติศาสตร์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สงวนสิทธิในการเผยแพร่ผลงานที่ตีพิมพ์ในแบบรูปเล่มและทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นใด<br>บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารนิติศาสตร์เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนโดยเฉพาะ&nbsp; คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> tu.lawjournal@tu.ac.th (ณัฐฐา จินดาวณิช) tu.lawjournal@tu.ac.th (ณัฐฐา จินดาวณิช) Mon, 29 Sep 2025 23:16:46 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ส่วนหน้า https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/283911 APINOP ATIPIBOONSIN ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/283911 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การปรับใช้คำร้องระงับการพิจารณาชั่วคราว (Motion to Strike) https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/276893 <p>ปัจจุบันสิทธิของผู้บริโภคยังไม่ได้รับความคุ้มครองที่เพียงพอ ผู้บริโภคยังคงไม่สามารถใช้สิทธิของตนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าและบริการของผู้ประกอบธุรกิจในทางลบแม้จะเป็นกระทำโดยสุจริตได้อย่างเป็นอิสระ เพราะหวาดกลัวว่าผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องให้ตนต้องรับผิดจากการทำให้ผู้ประกอบธุรกิจได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ โดยอาจเป็นการฟ้องให้ผู้บริโภคต้องรับผิดต่อชื่อเสียงของผู้ประกอบธุรกิจตามมาตรา 423 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการฟ้องลักษณะนี้เป็น “การฟ้องปิดปาก” หรือ “การฟ้องเชิงยุทธศาสตร์” ที่รู้จักกันในชื่อ “Strategic Lawsuit Against Public Participation” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “SLAPP” อันเป็นการฟ้องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่แสดงความคิดเห็นในทางลบเกี่ยวกับตนได้รับความยากลำบากจากการต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลและทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นเช่นกัน โดยการฟ้องในลักษณะนี้มักเกิดขึ้นระหว่างผู้ที่มีอำนาจในทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากและผู้ฟ้องมักไม่ได้สนใจถึงผลคำพิพากษา เพียงต้องการใช้ประโยชน์จากการดำเนินกระบวนการทางกฎหมายเพื่อสร้างความลำบากให้อีกฝ่ายเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการใช้กฎหมายในทางที่ผิด โดยสำหรับผู้บริโภคนั้น นอกจากปัญหานี้จะเกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในทางที่ผิดแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคซึ่งมีความสำคัญอย่างมากอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาจำเป็นจะต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจด้วย โดยจากการศึกษาพบว่าหนึ่งในแนวทางการต่อสู้ของผู้บริโภคคือการปรับใช้คำร้องระงับการพิจารณาชั่วคราว (Motion to Strike) เพื่อเป็นช่องทางให้กับผู้บริโภคในการต่อสู้คดีในชั้นศาล ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากเปรียบเทียบกฎหมายและแนวปฏิบัติของต่างประเทศ รวมถึงร่างกฎหมายต่าง ๆ ของประเทศไทย ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 อีกทั้งพิจารณาไปถึงความแตกต่างระหว่างคำร้องระงับการพิจารณาชั่วคราวกับมาตรา 24 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อให้เห็นว่า มาตรา 24 นั้นไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหา โดยในส่วนของคำร้องระงับการพิจารณาชั่วคราว พิจารณาถึงประเด็นระยะเวลาในการยื่นคำร้อง ผลของการยื่นคำร้อง หลักการพิจารณาคำร้อง หน้าที่นำสืบ กรณีที่ศาลมีคำสั่งตามคำร้องและกรณีที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง รวมไปถึงข้อเสนอแนะของผู้เขียนว่าควรนำมาปรับใช้โดยการบัญญัติเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ใน หมวด 2 วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคในศาลชั้นต้น เพิ่มเป็น ส่วนที่ 1 ก่อนการฟ้องคดี เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการฟ้องปิดปากในคดีผู้บริโภคได้มากที่สุด</p> ศุภกานต์ กุลสถิตพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/276893 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การปรับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1179 ต่อกรณีที่ผู้ถือหุ้นบางรายขาดประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1171 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/278734 <p>องค์ประชุมเป็นเงื่อนไขสำคัญในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท นอกจากกฎหมายจะกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับองค์ประชุมทั้งกรณีการประชุมที่นัดในคราวแรก และการประชุมที่มีการเลื่อนออกไปแล้ว บริษัทยังมักจะกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับองค์ประชุมไว้เป็นการเฉพาะด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับของบริษัทที่กำหนดว่าการประชุมผู้ถือหุ้น “ทุกคราว” จะต้องมีผู้ถือหุ้นจำนวนเท่าใดเข้าประชุมจึงจะครบองค์ประชุมนั้น เกิดปัญหาในการตีความข้อบังคับว่า การประชุมผู้ถือหุ้น “ทุกคราว” มีความหมายรวมถึงการประชุมครั้งที่เลื่อนออกไปด้วยหรือไม่</p> <p>จากการศึกษาพบว่า กฎหมายสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ไม่มีบทบัญญัติที่บัญญัติกล่าวถึงกรณีนี้โดยตรง แต่มีบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลในการสั่งให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นได้แม้ว่าจะมีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุม ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้ ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายกำหนดให้อำนาจศาลเช่นว่านั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำหลักการตีความที่จะต้องพิจารณาบริบทต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์หรือตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (Teleological Interpretation) มาพิจารณาประกอบ เพื่อให้การตีความคำว่า “ทุกคราว” นี้หมายความถึงการประชุมผู้ถือหุ้นที่ได้นัดเรียกในคราวแรกเท่านั้นและไม่รวมถึงการประชุมที่เลื่อนออกไป อันจะทำให้การประชุมที่เลื่อนออกไปต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 1179 วรรคสอง ที่กำหนดให้ไม่ต้องพิจารณาองค์ประชุม ซึ่งการตีความเช่นนี้จะทำให้ไม่อาจเกิดสภาวะติดตาย (deadlock) สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทที่คู่สัญญาต้องการประกอบกิจการเพื่อแสวงหากำไรอย่างต่อเนื่อง และป้องกันไม่ให้ผู้ถือหุ้นบางกลุ่มอาศัยประโยชน์จากถ้อยคำว่า “ทุกคราว” ในทางที่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตด้วย</p> ธีระรัตน์ จีระวัฒนา, นิลุบล เลิศนุวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/278734 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 วิเคราะห์ความสอดคล้องของกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวของประเทศไทยกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/278786 <p>ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีเป็นปัจจัยให้เกิดความตระหนักว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาสังคมที่เรียกร้องให้รัฐต้องมีมาตรการทางกฎหมายและมาตรการอื่นเพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ส่งผลให้เกิดมุมมองต่อความรุนแรงในครอบครัวผ่านแนวคิดสตรีนิยม กล่าวคือ มีฐานคิดว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นเกิดขึ้นจากความไม่เทียมทางเพศภายใต้และเพื่อรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ และอยู่บนฐานของความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนต่อประเภทของการกระทำรุนแรง ที่ไม่จำกัดแค่ความรุนแรงเชิงกายภาพ แต่รวมถึงการบังคับควบคุม (coercive control) การมีอิทธิพลทางจิตใจ หรือเศรษฐกิจ โดยอาจมีลักษณะต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ตามทฤษฎีเรื่องวงจรความรุนแรง (cycle of violence) และวงล้อแห่งอำนาจและการควบคุม (Power and Control wheel) หรือที่เรียกว่า“โมเดลดุลูท” (The Duluth Model) นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในเรื่องภาวะของหญิงที่ถูกคู่ของตนทำร้ายอย่างซ้ำ ๆ (battered women syndrome) จึงลงมือทำร้ายคู่ของตน ซึ่งระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ควรรองรับข้อต่อสู้ของผู้ที่มีภาวะเช่นนี้เพื่อการกำหนดโทษที่เหมาะสม</p> <p>จากลักษณะของความรุนแรงในครอบครัวที่ซับซ้อนดังกล่าว มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่ารัฐมีพันธกรณีในทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างไรในการจัดการกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว บทความวิจัยชิ้นนี้ต้องการตอบคำถามดังกล่าว โดยศึกษาว่ากฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้กำหนดบรรทัดฐาน รวมถึงแนวทางในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอย่างไรบ้าง และกฎหมายประเทศไทยสอดคล้องกับพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามหรือไม่ อย่างไร จากการศึกษาพบว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มุ่งรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว (family-centered approach) มากกว่าสิทธิและสวัสดิภาพของผู้ถูกกระทำตามหลักการให้ผู้ถูกกระทำเป็นศูนย์กลาง (victim/survivor-centered approach) รวมถึงยังมีปัญหาในเชิงบทบัญญัติกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขต่อไป</p> วริษา องสุพันธ์กุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/278786 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดในประมวลกฎหมายยาเสพติด: ศึกษาช่องทางการเข้าสู่การบำบัดรักษาและผลทางกฎหมายกรณีการบำบัดรักษาไม่สำเร็จ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279559 <p style="font-weight: 400;">ในประมวลกฎหมายยาเสพติดได้มีช่องทางให้ผู้เสพยาเสพติดสามารถเข้าสู่การบำบัดรักษาได้ 3 ช่องทางเท่านั้น กล่าวคือ ช่องทางแรกคือการเข้าสู่บำบัดรักษาด้วยความสมัครใจของตนเองตามมาตรา 113 ช่องทางที่สองคือหากถูกตรวจพบโดยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ สามารถเข้าสู่การบำบัดรักษาได้หากสมัครใจบำบัดรักษาโดยแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ตรวจพบตามมาตรา 114 และช่องทางสุดท้ายหากศาลเห็นว่ามีเหตุที่ยังไม่สมควรลงโทษจำเลยและจำเลยตกลงเข้ารับการบำบัดรักษา ศาลอาจส่งตัวจำเลยไปสถานพยาบาลยาเสพติดเพื่อเข้ารับการบำบัดรักษาได้ตามมาตรา 168 นอกจากนี้ ในประมวลกฎหมายยาเสพติดนั้นไม่มีการบัญญัติถึงผลทางกฎหมายในกรณีบำบัดไม่สำเร็จที่ชัดเจนในกรณีตามมาตรา 114 ซึ่งในวรรคสามของมาตรา 114 ได้วางหลักไว้เพียงว่าให้สถานพยาบาลยาเสพติดหรือสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่รับผิดชอบในการบำบัดรักษาจัดทำประวัติ ข้อมูล และพฤติการณ์ของผู้นั้นไว้ใช้ประโยชน์ในการพิจารณาการให้เข้ารับการบำบัดรักษา ซึ่งกลายเป็นช่องว่างที่ทำให้ผู้เสพยาเสพติดอ้างว่าต้องการเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาก่อน หลังจากนั้นจึงออกจากระบบการบำบัดรักษาในภายหลัง เพื่อให้ไม่ถูกดำเนินคดี เพราะเพียงแต่ถูกบันทึกประวัติไว้เท่านั้น</p> <p style="font-weight: 400;">ทั้งนี้ หลังจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Documentary research) ที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษายาเสพติดในประเด็นต่าง ๆ ทำให้พบว่า ในกฎหมายยาเสพติดของประเทศอื่นมีช่องทางการเข้าสู่การบำบัดรักษามากกว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดของประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่นผู้ติดยาเสพติดสามารถเข้ารับการบำบัดรักษาได้ถ้ามีการรายงานมาจากแพทย์ที่ตรวจพบว่าผู้นั้นติดยาเสพติดจากการตรวจร่างกาย นอกจากนี้ผู้ติดยาเสพติดยังสามารถเข้ารับการบำบัดรักษาได้หากมีคำร้องของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดยาเสพติด</p> <p style="font-weight: 400;">ดังนั้น จึงควรเพิ่มช่องทางให้ผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่การบำบัดรักษาได้มากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผู้ติดยาเสพติดของประเทศที่จะนำไปสู่ปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมาได้ รวมทั้งควรให้แก้ไขมาตรา 114 ใหม่ โดยระบุผลทางกฎหมายที่ชัดเจนแต่ยังคงรักษาเจตนารมณ์ของบทบัญญัติที่ให้โอกาสแก่ผู้เสพติดยาเสพติดอยู่</p> เพียรรัตน์ ลีลาพงศธร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279559 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนา และคุ้มครองสถาบันครอบครัว https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279845 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลเชิงวิชาการ ตลอดจนจัดทำแนวทางในการปรับปรุง และพัฒนากฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัวให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนำไปสู่จัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยศึกษาเปรียบเทียบจากกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง อนุสัญญาระหว่างประเทศ กฎหมายต่างประเทศ รวมถึงเก็บข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความรุนแรงในครอบครัว และผู้ทรงคุณวุฒิโดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุมกลุ่มย่อย และการจัดเวทีวิพากษ์ร่างกฎหมาย</p> <p>ในประเทศไทยพบว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อน และต้องมีกลไกทางกฎหมายเฉพาะที่แตกต่างจากการกระทำความผิดอาญาทั่วไป ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนจึงจำเป็นต้องมีมาตรการทางกฎหมายรองรับทั้งในเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุความรุนแรงในครอบครัวและในเชิงคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงกำหนดกระบวนการแก้ไข ฟื้นฟู และให้โอกาสในการกลับตัวเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการเชิงคุ้มครองนั้น ประเทศไทยมีกฎหมายที่ใช้บังคับคือ พระราชบัญญัติการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุง ในขณะที่พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุได้ถูกชะลอการใช้บังคับด้วยข้อจำกัดบางประการ ทำให้ในปัจจุบันยังมีช่องว่างทางกฎหมายที่จะขับเคลื่อนมาตรการเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ ผู้เขียนจึงศึกษาและนำเสนอกรอบแนวคิดและร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. ... โดยมีวัตถุประสงค์ให้ใช้บังคับควบคู่กับร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ... ซึ่งสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ประกอบด้วย การแก้ไขบทนิยามให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น จัดโครงสร้างการดำเนินงานเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เน้นการส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางกฎหมายในรูปแบบของการประสานความร่วมมือเชิงบูรณาการจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคประชาสังคมในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งตัดทอนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 ซึ่งทับซ้อนกับบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ... เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้กฎหมายทั้งสองฉบับเป็นไปในลักษณะคู่ขนานอย่างมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติได้จริง มีเอกภาพ และบรรเทาปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน</p> <p>&nbsp;</p> มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล, พิมพ์กมล กองโภค, อุกฤษฏ์ ศรพรหม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279845 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความท้าทายด้านกฎหมายของอุตสาหกรรมกีฬาอีสปอร์ต: รัฐควรกำกับดูแลหรือไม่ ? https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/277158 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาวิจัย เรื่อง “ความท้าทายด้านกฎหมายของอุตสาหกรรมกีฬาอีสปอร์ต: รัฐควรกำกับดูแลหรือไม่ ?” การจัดทำรายงานวิจัยนี้ได้ศึกษาข้อมูลเอกสารทั้งของประเทศไทยและของต่างประเทศ สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งสามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีสปอร์ตส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแง่มุมต่างๆ ของสังคม รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ผลกระทบสำคัญบางประการจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีสปอร์ต ได้แก่</p> <ol> <li class="show">การเติบโตทางเศรษฐกิจ: การขยายตัวของอุตสาหกรรมอีสปอร์ตได้นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ สร้างโอกาสในการสร้างงาน การลงทุน และการสร้างรายได้จากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนทำให้เศรษฐกิจเติบโตโดยการดึงดูดผู้เข้าร่วมและผู้ชม รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ</li> <li class="show">การเติบโตของสื่อและความบันเทิง: อีสปอร์ตกลายเป็นหนึ่งในสื่อและความบันเทิงหลัก โดยมีผู้ชมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งโดยเฉพาะ ข้อตกลงการออกอากาศ โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีที่มีการรับชมและมีส่วนร่วมกับเนื้อหาเกมที่มีการแข่งขันอย่างแตกต่างจากกีฬาแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง</li> <li class="show">นวัตกรรมทางเทคโนโลยี: การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีสปอร์ตได้ขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในการเล่นเกม การสตรีม และประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality Experience) ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาฮาร์ดแวร์เกม ซอฟต์แวร์ และโครงสร้างพื้นฐาน</li> <li class="show">อิทธิพลทางวัฒนธรรม: อีสปอร์ตมีผลกระทบอย่างมากต่อวัฒนธรรมสมัยนิยม โดยมีอิทธิพลต่อกระแสแฟชั่น ดนตรี และความบันเทิง และกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม และดึงดูดฐานผู้ชม<br>ที่หลากหลายและทั่วโลก</li> <li class="show">โอกาสทางอาชีพ: การเติบโตของอีสปอร์ตได้สร้างโอกาสใหม่ในด้านการพัฒนาอาชีพ เช่น การฝึกสอน <br>การจัดการ และการสร้างเนื้อหา เป็นต้น</li> </ol> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมอีสปอร์ตได้จุดประกายให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับความจำเป็นของรัฐในการเข้ามากำกับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนิเวศมีความสมบูรณ์ ยุติธรรม และยั่งยืน อันเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยนี้ โดยมุ่งศึกษาประโยชน์ และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากอีสปอร์ต ในการกำกับดูแล และเสนอแนวทางสำหรับการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับประเทศไทย</p> <p>&nbsp;</p> ปรีดา โชติมานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/277158 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาข้อกฎหมายว่าด้วยการใช้บทกฎหมายยกเว้นความผิดในคดีข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยการเทียบเคียงบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/277883 <p>ปัญหาสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับการใช้การตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คือ ปัญหาที่ว่า ในระบบกฎหมายไทย ศาลสามารถนำมาตรา 329 มาปรับใช้เป็นเหตุยกเว้นความผิดให้จำเลยที่ถูกฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 112 โดยการเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง (Analogy) ได้หรือไม่ ซึ่งในปัญหานี้ นักนิติศาสตร์ไทยมีแนวความเห็นเป็นสองแนวทางที่ขัดแย้งกัน และเมื่อวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวด้วยหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการปรับใช้บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามแนวทางที่ รศ. ดร. สมยศ เชื้อไทย อธิบายไว้ คือ การพิจารณาประเภทของบทบัญญัติว่าเป็นบทหลักหรือบทยกเว้น การพิจารณาว่ามีเหตุผลเพียงพอจะเทียบเคียงได้หรือมีเหตุผลพิเศษห้ามไว้ และการพิจารณาสาระสำคัญแห่งบทบัญญัติที่กำลังพิจารณาจะนำมาใช้โดยการเทียบเคียง จะพบว่า แก่นหรือส่วนสำคัญของปัญหาที่นักนิติศาสตร์ไทยถกเถียงกันเกี่ยวกับการนำมาตรา 329 มาปรับใช้โดยการเทียบเคียง คือ สถานะอันล่วงละเมิดมิได้ของพระมหากษัตริย์ซึ่งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 6 ว่าเป็นส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือส่วนที่ตัดสินว่าจะนำมาตรา 329 มาใช้โดยการเทียบเคียงได้หรือไม่ และในการที่จะตอบปัญหาข้างต้นได้อย่างชัดเจน จะต้องค้นหาเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของมาตรา 329 และผู้เขียนเสนอว่า จำเป็นที่ควรจะต้องศึกษาวิเคราะห์ทั้งในเชิงกฎหมาย ประวัติศาสตร์กฎหมาย การศึกษากฎหมายเปรียบเทียบระหว่างระบบกฎหมายไทยกับระบบกฎหมายของประเทศในระบอบเสรีประชาธิปไตยอื่น ๆ การศึกษาเชิงนิติสังคมศาสตร์ในสภาพสังคมไทยที่เป็นจริงในปัจจุบันและความเป็นสังคมพุทธ และการศึกษาในเชิงนิติปรัชญา ประกอบกัน เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 มีเจตนารมณ์อย่างไร โดยหากมีคดีขึ้นสู่ศาล ศาลสามารถวิเคราะห์ในทางหลักกฎหมายไปได้เองเพราะเป็นส่วนหนึ่งหรือประเด็นย่อยของปัญหาหลักที่ต้องพิจารณาในคดีอาญาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ส่วนการศึกษาปัญหาในเชิงประวัติศาสตร์กฎหมาย กฎหมายเปรียบเทียบ ปรัชญากฎหมาย และนิติสังคมศาสตร์รวมถึงนิติศาสตร์แนวพุทธ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่การพิจารณาปัญหาหลักที่ว่าจะนำมาตรา 329 มาใช้โดยการเทียบเคียงได้หรือไม่ และในคดีอาญาภาระการพิสูจน์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ตกอยู่กับโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นจนปราศจากข้อสงสัย (Proof beyond Reasonable Doubt) ว่า สภาพทางสังคมวัฒนธรรมของประเทศไทยบ่งชี้ว่าไม่ควรนำมาปรับใช้ เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อบ่งชี้ทางกฎหมายอื่น ๆ ศาลก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยและฟังข้อเท็จจริงเป็นคุณแก่จำเลย อันอาจนำไปสู่การปรับใช้มาตรา 329 โดยการเทียบเคียงในการกระทำของจำเลยที่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 และพิพากษายกฟ้อง</p> กิตติคุณ วงศ์ทองทิว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/277883 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความชอบด้วยกฎหมายของการหยุดงานโดยไม่รับค่าจ้างในประเทศไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/278930 <p>ปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่มีบทบัญญัติเรื่องการหยุดงานโดยไม่รับค่าจ้างโดยตรง จึงทำให้เกิดปัญหาในการตีความเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของการหยุดงานดังกล่าวว่าการให้ลูกจ้างหยุดงานลักษณะนี้ขัดแย้งหรือไม่กับบทบัญญัติมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่กำหนดให้นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างบางส่วนให้กับลูกจ้างในช่วงเวลาที่นายจ้างปิดกิจการเป็นการชั่วคราว บทความนี้ได้นำเสนอรายละเอียดของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แนวทางที่ประกาศโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน คำพิพากษาของศาลที่เกี่ยวข้อง และแนวปฏิบัติที่ใช้กันทั่วไปในประเทศไทย จากนั้นวิเคราะห์เพื่อนำมาสู่ข้อสรุปว่า การให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่รับค่าจ้างสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายไทย ตราบใดที่มีการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดอย่างชัดเจนและนายจ้างได้รับความยินยอมชัดแจ้งจากลูกจ้างแล้ว และความยินยอมนั้นจะต้องแสดงออกจากความสมัครใจที่แท้จริงของลูกจ้างโดยมิใช่จากการข่มขู่หรือด้วยความเข้าใจผิด</p> ปานทิพย์ พฤกษาชลวิทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/278930 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 เสรีภาพสื่อต่อการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279301 <p>การนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญและมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในสังคมเป็นอย่างมาก ประกอบกับปัจจุบันระบบเทคโนโลยีและเครื่องมือการสื่อสารที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้การรับข้อมูลข่าวสารของประชาชนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ฉะนั้น การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนจึงมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือหรือเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของสังคม โดยทำให้ประชาชนได้ตระหนักรับรู้สถานการณ์ หรือเป็นการเตือนภัยเพื่อป้องกันภัยอันตรายในการดำเนินชีวิต ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้วิธีการ รูปแบบการนำเสนอ การสื่อสาร หรือข้อมูลที่ใช้ในการนำเสนอ จึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นที่สามารถสร้างการรับรู้ หรืออาจกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ร่วมของผู้รับข้อมูลข่าวสาร และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาต่างๆ หรืออาจสร้างปัญหาในสังคมได้ไม่มากก็น้อย<br><br>จากการศึกษาพบว่า ในทางระหว่างประเทศ ต่างประเทศ (ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี) หรือประเทศไทยก็ดี ต่างมีมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน ให้ปราศจากการแทรกแซงของอำนาจรัฐ หรือผู้มีอำนาจ เพื่อให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่มีการบิดเบือนข้อมูล หรือการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ แต่อย่างใดก็ดี การอ้างเสรีภาพหรือความมีอิสระในการดำเนินการเรื่องใดหรือสิ่งใดแบบไม่มีขอบเขตจำกัด หรือในลักษณะที่เป็นนามธรรมนั้น ย่อมอาจมีผลต่อสิทธิและเสรีภาพในความเป็นอยู่ส่วนตัวหรือสิทธิในเกียรติยศชื่อเสียงของบุคคลที่ตกเป็นข่าว ตลอดจนครอบครัวหรือบุคคลแวดล้อมใกล้ชิดของบุคคลเหล่านั้นได้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม<br><br>ดังนั้น การตระหนักถึงความสำคัญในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนจึงต้องพิจารณาถึงกรอบจำกัดของเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และการคำนึงผลกระทบทางได้เสียต่อบุคคลผู้ตกเป็นข่าว โดยภาครัฐควรมีแผนบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อกำหนดกรอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ ให้ครอบคลุมสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่ม และควรผลักดันให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน เพื่อให้มีองค์กรวิชาชีพภายใต้กฎหมายในการควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนให้อยู่ในกรอบมาตรฐานวิชาชีพอย่างจริงจัง</p> พรรณรัตน์ ดิษฐ์เจริญ, เปรมฤดี เพ็ชรกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279301 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 มาตรการกฎหมายเชิงบูรณาการ : การสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งเพื่อลดการกระทำความผิดซ้ำในสังคมไทย https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279714 <p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษามาตรการทางกฎหมายเชิงบูรณาการในการสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งเพื่อลดการกระทำผิดซ้ำในสังคมไทย ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัญหาเกี่ยวกับการส่งต่อผู้กระทำความผิดหลังพ้นโทษสู่สังคม (คืนคนดีสู่สังคม) ของประเทศไทย ในประเด็นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของผู้กระทำความผิดคดีอุกฉกรรจ์ 2) แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิด การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดโดยรัฐร่วมกับชุมชนและการสงเคราะห์และดูแลผู้พ้นโทษ 3) ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งต่อผู้กระทำความผิดหลังพ้นโทษสู่สังคมและการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งของประเทศไทยและของต่างประเทศ และ4) เพื่อเสนอมาตรการทางกฎหมายเพื่อการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนขึ้นภายในประเทศไทย โดยวิเคราะห์รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวน การยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ตลอดจนศึกษาแนวทางการพัฒนากฎหมายและนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายชุมชนในการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า การบูรณาการมาตรการทางกฎหมายร่วมกับการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนผ่านรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ส่งผลให้อัตราการกระทำผิดซ้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การพัฒนากลไกทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม การสร้างระบบสนับสนุนทางสังคมและเศรษฐกิจสำหรับผู้พ้นโทษ และการส่งเสริมความตระหนักรู้ของสังคมต่อการยอมรับผู้พ้นโทษกลับคืนสู่สังคม เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการลดการกระทำผิดซ้ำในบริบทสังคมไทย ซึ่งผู้วิจัยได้เสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนากฎหมายและแนวปฏิบัติที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> อัคคกร ไชยพงษ์, พรชัย วิสุทธิศักดิ์, ณัฏฐณิชา ยิ้มซ้าย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/279714 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700