การพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558
คำสำคัญ:
บทกำหนดโทษ, เครื่องสำอางบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการกำหนดให้ความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีสามารถเปรียบเทียบปรับได้ ปัญหาการไม่แจ้งเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่อเครื่องสำอางที่เป็นอันตราย และปัญหาการกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกคืนเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยหรือเครื่องสำอางปลอมตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร โดยศึกษาค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลจากหนังสือ บทความ งานวิจัยและบทบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษาเปรียบเทียบกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายต่างประเทศ และหลักกฎหมายไทย แล้วนำมาวิเคราะห์สรุปผลและเสนอแนะแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ผลการศึกษาพบว่าการที่พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 มาตรา 90 กำหนดให้ความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีสามารถเปรียบเทียบปรับได้นั้นก่อให้เกิดปัญหาผู้กระทำความผิดไม่เกรงกลัวต่อโทษที่กฎหมายกำหนด เพราะความผิดเหล่านี้สามารถเปรียบเทียบปรับได้ ดังกรณีความผิดฐานผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย รับจ้างผลิตหรือขายเครื่องสำอางไม่ปลอดภัยในการใช้หรือเครื่องสำอางปลอมตาม มาตรา 72 และมาตรา 75 ซึ่งกำหนดอัตราโทษจำคุกไว้ไม่เกินหนึ่งปีย่อมสามารถเปรียบเทียบปรับได้ นอกจากนั้นปัญหาการไม่แจ้งเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่อเครื่องสำอางที่เป็นอันตราย และการกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกคืนเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยหรือเครื่องสำอางปลอมพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 ไม่ได้บัญญัติฐานความผิดไว้ จึงต้องอาศัยบทบัญญัติในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2562) มาตรา 56/3 กำหนดไว้ว่าต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งเป็นความผิดที่สามารถเปรียบเทียบปรับได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2562) มาตรา 62 และตามมาตรา 29/7 กำหนดให้ในกรณีผู้ประกอบธุรกิจพบหรือได้รับแจ้งตามมาตรา 29/6 วรรคสอง มีหน้าที่ปัดป้องอันตรายหรือทำให้อันตรายของสินค้าหมดสิ้นไป ได้แก่ การแก้ไข เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสินค้า หรือเปลี่ยนสินค้า เรียกคืนสินค้าและชดใช้ราคาสินค้า เก็บสินค้าออกจากตลาด กรณีดังกล่าวจึงพบว่าไม่สอดคล้องกับความมุ่งหมายที่กำหนดเพื่อคุ้มครองและป้องกันอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งจะนำไปรวมไว้กับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2562) เช่นเดียวกับสินค้าอื่น ๆ ไม่ได้
จากการศึกษาขอเสนอแนะว่าควรกำหนดบทลงโทษตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 มาตรา 90 ไม่ให้รวมถึงความผิดที่มีโทษจำคุกหรือโทษจำคุกและปรับด้วย เพื่อไม่ให้เปรียบเทียบปรับได้ และกำหนดนิยามความหมายของคำว่า “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง” และ “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ไม่ร้ายแรง” และกำหนดระยะเวลากรณีผู้ประกอบการแจ้งเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ล่าช้า และกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกคืนเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยหรือเครื่องสำอางปลอม โดยแบ่งประเภทตามระดับความเสี่ยงของสุขภาพ และกำหนดระยะเวลาการแจ้งการเรียกคืนและระยะเวลาในการดำเนินการเรียกคืน และเพิ่มเติมบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับโทษทางแพ่งและค่าเสียหายเชิงลงโทษมาใช้เพื่อเยียวยาความเสียหายแก่ผู้ใช้หรือผู้บริโภคเครื่องสำอางไว้เป็นการเฉพาะก็จะทำให้พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Act on Securing Quality, Efficacy and Safety of Products Including Pharmaceuticals and Medical Devices.
ASEAN Cosmetic Directive (ACD).
Health Product Act 2007.
Regulation (EC) No 1223/2009 of the European Parliament and of the Council of 30 November 2009 on cosmetic products.
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์. (2563). กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : โครงการตำราและ เอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
อรัญญา มโนสร้อย. (2533). เครื่องสำอาง เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์. หน้า อภิรัตน์ เพ็ชรศิริ.(2548). ทฤษฎีทางอาญา. กรุงเทพฯ : วิญญูชน.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความทุกบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการศรีปทุม ชลบุรี