ปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565
คำสำคัญ:
การป้องกันและปราบปราม, การทรมาน, การกระทำให้บุคคลสูญหายบทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ในการกำหนดคำนิยามความหมายของการทรมาน การกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย การกำหนดให้มีการบันทึกภาพและเสียงตลอดระยะเวลาการจับและการควบคุมตัวผู้ถูกจับ การรับฟังพยานหลักฐานในการจับกุม การส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการกำหนดคุณสมบัติของผู้ทรงคุณวุฒิ จากการศึกษาพบว่าพระราชบัญญัติการป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ไม่ได้กำหนดคำนิยามความหมายของการทรมาน การกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหายจึงก่อให้เกิดปัญหาการตีความและขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายอาญากับพระราชบัญญัติการป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 นอกจากนั้น การที่พระราชบัญญัติการป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 กำหนดให้จะต้องมีการบันทึกภาพและเสียงตลอดระยะเวลาการจับและการควบคุมตัวโดยมิได้มีข้อยกเว้น ในการบันทึกในรูปแบบอื่น เช่น การจัดทำรายงานภายหลังการจับหรือการควบคุมตัว และยังมีบทบัญญัติ บางประการที่ยังขัดต่อหลักอำนาจอธิปไตยของรัฐในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและหลักการรับฟังพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226, 226/1 จากการศึกษาขอเสนอแนะว่าควรกำหนดคำนิยามความหมายของการทรมาน การกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหายเพื่อลดปัญหาการตีความ กำหนดให้มีการบันทึกภาพและเสียงในรูปแบบอื่น ๆ ได้ เช่น การจัดทำรายงาน เมื่อพ้นระยะเวลาการจับและการควบคุมตัว และกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานหลักฐานในชั้นจับกุมและควบคุมตัว เพราะถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่ใกล้ชิดกับข้อเท็จจริงมากที่สุดที่จะสามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และเห็นควรให้ยกเลิกมาตรา 13 และกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้กว้างขวางเพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิที่หลากหลายไม่ได้จำกัดเฉพาะอาชีพใดอาชีพหนึ่ง
เอกสารอ้างอิง
กรมองค์การระหว่างประเทศ. (2551). ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights). กรุงเทพฯ: กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ.
นันทพร กันเฉย. (2559). ความรับผิดทางอาญาของผู้บังคับบัญชากรณีผู้ใต้บังคับบัญชาบังคับให้บุคคลสูญหาย. วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญา, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
นันท์ชนก วงษ์สมุทร์. (2562). สาวซาอุฯ : นักสิทธิมนุษยชนเชื่อกระแสโซเชียลทั่วโลกช่วยเปลี่ยนใจรัฐบาลไทย มอบ UNHCR ดูแล (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก:
https://www.bbc.com/thai/thailand-46790916 [2567, 27 กันยายน].
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565. (2565). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 139 (ตอนที่ 66 ก), หน้า 43.
เพชรณพัฒน์ ศรีวุทธิยประภา. (2564). อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญและการเข้าร่วมเป็นภาคีของประเทศไทย (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก: https://law.mfu.ac.th/law-news/law-detail/detail/News/6856.html [2567, 27 กันยายน].
Tønnessen, L. (2016). CMI Report: Women’s Activism in Saudi Arabia: Male Guardianship and Sexual Violence. Bergen: Chr. Michelsen Institute.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความทุกบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการศรีปทุม ชลบุรี