ภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 3 - รัชกาลที่ 5: กรณีศึกษาศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร
DOI:
https://doi.org/10.60101/faraa.2025.270434คำสำคัญ:
การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์, คุณลักษณะทางศิลปกรรม, วัดบวรนิเวศวิหาร, รัชกาลที่ 3 - รัชกาลที่ 5บทคัดย่อ
งานวิจัย เรื่อง ภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 3 - รัชกาลที่ 5: กรณีศึกษาศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 3 ประการ 1) เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 3 - รัชกาลที่ 5 ที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการของวัดบวรนิเวศวิหาร 2)เพื่อศึกษาผลของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 3 - รัชกาลที่ 5 ที่มีอิทธิพลต่อศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร และ 3) เพื่อเข้าใจความเป็นมาและลักษณะของศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร โดยทำการศึกษาจากเอกสารชั้นต้น เอกสารชั้นรอง และทำการวิเคราะห์ผ่านงานศิลปกรรมภายในวัดบวรนิเวศวิหาร วัดบวรนิเวศวิหารเริ่มสร้างโดยกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาศักดิพลเสพย์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ศิลปกรรมทั้งทางสถาปัตยกรรมและประติมากรรมในระยะแรกสร้างนี้ ปรากฏลักษณะของงานสกุลช่างวังหน้าและอิทธิพลศิลปกรรมแบบจีนตามพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชเป็นพระภิกษุในนาม วชิรญาณภิกขุ รัชกาลที่ 3 ได้เชิญให้วชิรญาณภิกขุย้ายจากวัดสมอรายมาประทับเป็นปฐมเจ้าอาวาสที่วัดบวรนิเวศวิหาร วชิรญาณภิกขุได้ทรงก่อตั้งธรรมยุติกนิกายโดยมีจุดเริ่มต้นที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงทำให้วัดบวรนิเวศวิหารเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ธรรมยุติกนิกายที่สำคัญ เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสร้างมหาเจดีย์ต่อจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาศักดิพลเสพย์ที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ มหาเจดีย์ดังกล่าวเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ดังกล่าวได้สะท้อนถึงอิทธิพลคติพุทธศาสนาจากลังกา มีการออกแบบลวดลายและสิ่งประดับล้อมรอบเจดีย์ที่แสดงถึงอิทธิพลตะวันตกอันเป็นสภาวการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการขยายผลการศึกษาของสงฆ์พัฒนาจากโรงพิมพ์วัดบวรนิเวศวิหาร ทำการก่อตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัยซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นสมัยแห่งการตื่นตัวในการสร้างภาพลักษณ์ความศิวิไลซ์อันเป็นสภาวะความกดดันจากลัทธิจักรวรรดินิยม จึงทำให้มีอาคารตำหนักหลายหลังที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกอย่างสวยงาม
เอกสารอ้างอิง
Chao Praya Thipakornwong. (1961). Rattanakosin Royal Chronicle of King Rama III. Bangkok:Suksapanpanit. [in Thai]
Khruathong, P. (2010). “Thot rahat khadi 'mom kraison': kong ke ru kanmuang? in Silpawattanatham, 31(5), 88 -103. [in Thai]
Narasaj, W. (2017). Sub San Silp Ni Phaen Din Phra Song Tham. Bangkok: Rung Silp Printing. [in Thai]
Prince-Patriarch Vajirananavarorasa & H.R.H. Prince Damrong Rajanubhab. (2003). Tam Nan Wat Bovoranives. Bangkok: Religious Printing House. [in Thai]
Saisingha, S. & Saisingha, M. (2013). Buddhist Art of Wat Bovoranives Vihara. Bangkok: Wat Bovoranives Vihara. [in Thai]
The National Historical Commission of Thailand. (1993). Prachum Mai Rabsang Part 4 Episode 1 Rattanakosin Period in the Reign of King Rama III (1824 - 1841). Bangkok: The Secretariat of the Prime Minister. [in Thai]
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปกรรมศาสตร์วิชาการ วิจัย และงานสร้างสรรค์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.




