การลงโทษประหารชีวิตของสังคมไทยในคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ที่สุดตามแนวทางสหประชาชาติ

Main Article Content

ตุลาการ ขยันขันเกตุ

บทคัดย่อ

การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาข้อกำหนดแนวทาง และความสอดคล้องของสังคมไทยเกี่ยวกับการลงโทษประหารชีวิตในคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ที่สุดของสหประชาชาติ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำนโยบายมาปฏิบัติ กลุ่มประชาสังคม และกลุ่มนักวิชาการ พบว่าผลการศึกษาข้อกำหนดและแนวทางการลงโทษประหารชีวิตในคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ที่สุดของสหประชาชาติเป็นเรื่องมาตรฐานสากลที่พึงปฏิบัติ แม้ว่าในแต่ละประเทศจะมีบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน หากประเทศไทยกำหนดแนวทางที่สอดคล้องต่อแนวทางของสหประชาชาติจะส่งผลให้สามารถลดความผิดพลาดในการดำเนินคดีอาญาด้วยการลงโทษผู้บริสุทธิ์ และลดผลกระทบต่อเหยื่อได้ แนวทางที่เหมาะสมในการใช้โทษประหารชีวิตในกรณีคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ที่สุดตามแนวทางของสหประชาชาติ คือ การใช้โทษประหารชีวิตเฉพาะในคดีเจตนาฆ่าทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และอาจพักการใช้โทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ อีกทั้งการนำมาตรการแทนการลงโทษประหารชีวิตในฐานความผิดที่มีอัตราโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิตที่ไม่สอดคล้องต่อแนวทางของสหประชาชาติ คือ กำหนดโทษจำคุก
เพิ่มเข้าไปในบางฐานความผิดที่มีบทลงโทษประหารชีวิตเพียงสถานเดียว การใช้โทษจำคุกระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนในการพ้นโทษ การจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ได้รับการลดโทษ และการนำนักโทษประหารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อการเปลี่ยนแปลงแนวทางการลงโทษประหารชีวิตในคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ที่สุดที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต


 


 


 

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ขยันขันเกตุ ต. (2021). การลงโทษประหารชีวิตของสังคมไทยในคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ที่สุดตามแนวทางสหประชาชาติ. วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์, 12(Suppl. 1), 57–94. สืบค้น จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/247595
ประเภทบทความ
บทความวิจัย
ประวัติผู้แต่ง

ตุลาการ ขยันขันเกตุ, คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

 

เอกสารอ้างอิง

กรมราชทัณฑ์. (2563). สถิติผู้ต้องขังทั่วประเทศ. สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2563, จาก www.correct.go.th

คณิต ณ นคร. (2547). กฎหมายอาญาภาคทั่วไป. กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด.

ณัฐพร นครอินทร์. (2553). วิวัฒนาการของกระบวนการลงโทษประหารชีวิตในประเทศไทย และปัจจัยที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลง. (นิติศาสตร์มหาบัณฑิต), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

รวีภัทร์ ฉัตรไชยเดช. (2562). การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่: ศึกษากรณีเงื่อนไขในการยื่นคำร้องและผู้มีสิทธิร้องขอให้รื้อฟื้นคดี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต), คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม.

วิชัย ศรีรัตน์. (2560). การศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเพื่อการยกเลิกโทษประหารชีวิต. วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 46(3), 749-769.

ศุภชัย ปานพรหมมาศ. (2560). ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: ศึกษากรณีการยกเลิกโทษประหารชีวิต. วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, 5(3), 603-616.

สมภาร พรมทา. (2548). พุทธศาสนากับโทษประหารชีวิต. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 12(3), 5-116

สุมนทิพย์ จิตสว่าง. (2561). โทษประหารชีวิต. กรุงเทพฯ. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล, และปกป้อง ศรีสนิท. (2560). การศึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางการลงโทษ: หลักการลงโทษที่ได้สัดส่วนกรณีคดียาเสพติดให้โทษ. วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 46(4), 903-929.

อดิศักดิ์ นุชมี. (2561). การยกเลิกอาญาประหารชีวิตกับแนวคิดอิสลาม. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, 13(2), 53-67.

International Commission against the Death Penalty. (2013). The Death Penalty and the “most serious crime” A Country-by-country Overview of Death Penalty in Law and Practice in Retentionist States. Retrieved May 13, 2020, from http://www.icomdp.org

Netter, B. (2005). Avoiding the Shameful Backlash: Social Repercussions for the Increased Use of Alternative Sanctions. Journal of Criminal Law and Criminology, 96(4), 187-216.

United Nations. (2020). United Nations Treaty Collection, State of Ratification. Retrieved May 25, 2020, from https://treaties.un.org/Pages/ViewDetails.aspx?src=IND&mtdsg_no=IV12&ng

Whitmeyer, J. M. (2002). Elites and Popular Nationalism. Journal of Sociology, 53(3), 321-341.

Verboon, P., & Van Dijke, M. (2010). When Do Severe Sanctions Enhance Compliance the Role of Procedural Fairness. Journal of Economic Psychology, 32(1), 120-130.