แนวทางการออกแบบ และปรับปรุง ที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน กรณีศึกษา ชมรมเพื่อนพาร์กินสัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
Main Article Content
บทคัดย่อ
ประชากรผู้สูงอายุของโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น พาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรังที่มักเกิดกับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 8 ถูกพบว่าเป็นโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 40 ปี ดังนั้นโรคพาร์กินสันจึงไม่ใช่โรคของผู้ป่วยสูงอายุเท่านั้น ดังนั้นการศึกษาแนวทางการเตรียมความพร้อมด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ดี โดยพึ่งพาตนเองได้มากที่สุด ที่อยู่อาศัยที่มีความเหมาะสมสามารถส่งเสริมสภาพร่างกาย และจิตใจ ให้มีความพร้อมสู่การใช้ชีวิตในสังคมภายนอก
ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันร้อยละ 73 เคยได้รับอุบัติเหตุภายในที่พักอาศัย โดยเกิดเหตุในห้องนอนและทางเดิน ร้อยละ 40 ห้องนั่งเล่นร้อยละ 33 2) สาเหตุหลักมาจากอาการของโรคพาร์กินสันที่ก้าวขาไม่ออก และปัญหาการทรงตัว 3) ผู้ป่วยที่ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุส่วนใหญ่พบว่าอยู่ในระยะการดำเนินอาการที่ 2 และ 2.5 จากทั้งหมด 5 ระยะ โดยผู้ป่วยและผู้ดูแล มีความระมัดระวังต่อการการเกิดอุบัติเหตุสูง
สรุปผลการศึกษาพบว่า ที่อยู่อาศัยที่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ควรเป็นที่อยู่ที่มีระดับของพื้นเสมอกัน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเดินได้โดยรอบไม่เกิดการสะดุดล้ม อีกทั้งยังควรมีการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยให้กระตุ้นผู้ป่วยเกิดความตื่นตัวในการออกกำลังกาย เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมทั้งความเสื่อมตามอายุ และความเสื่อมที่เกิดจากโรค จะทำให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีสภาพจิตใจที่ดี ช่วยเหลือตนเองได้ เกิดเป็นความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของตัวเองมากยิ่งขึ้น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
ฉัตรกมล ประจวบลาภ. “สมรรถนะพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน.” วารสารกองทัพบก 16, (มกราคม 2558): 1-7.
ชมพูนุท พรหมภักดิ์. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 2556.
ไตรรัตน์ จารุทัศน์. มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับที่พักอาศัย และสภาพแวดล้อมของผู้สูงอายุ. กรุงเทพฯ: (ม.ป.ท.), 2548.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร : จามจุรีโปรดักท์, 2554.
ปวันรัตน์ ศรีคำ. “ปัจจัยทำนายการหกล้มในผู้สูงอายุโรคพาร์กินสัน.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557.
ปวิชญา สุภินนพงศ์. “ระบบประมวลสัญญาณเสียงพูดสำหรับประเมินโรคพาร์กินสัน.” วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมชีวเวช คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559.
รุ่งโรจน์ พิทยศิริ, กัมมันต์ พัมธุจินดาและศรีจิตรา บุนนาค. โรคพาร์กินสันรักษาได้. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์รักษาโรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, 2550.
อรวรรณ กูลจีรัง. “ประสบการณ์ชีวิตของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในจังหวัดชลบุรี.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาพยาบาลผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 2555.
Allen, N. E. et al. “The Effect of Exercise Program on Fall Risk Factor in People with Parkinson’s Disease.” Mov Disord 25, 9 (15 July 2010): 1217-25.
Ashburn, A. et al. “The Circumstances of Falls among People with Parkinson’s Disease and the Use of Falls Diaries to Facilitate Reporting.” Disabil Rehabil 30,16 (2008): 1205-12.
Calne, M. S. “Late-Stage Parkinson’s Disease for the Rehabilitation Specialist: A Nursing Perspective. Topic in Geriatric Rehabitation 21, 3 (2005): 233-246.
Gelb, D.J. and Oliver, E.G. “Dlagnostic Criteria for Parkinson Disease.” Archives of Neurology 56, 1(1999): 33-39.
Tseng, C. L. The Epidemiologic Study of Parkinson’s Disease in Taiwan. Kaohsiung: Kaohsiung Medical University, 2007.
Wood, B. H. et al. “Incidence and Prediction of Fall in Parkinson’s Disease: A Prospective Multidisciplinary Study.” Journal of Neurosurgical Psychiatry 72, 6 (2002): 721-725.
World Health Organization. World Report on Ageing and Health. Geneva: WHO, 2015.