การประเมินจิตสังคมสําหรับนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ในงานดูแลผู้ป่วย แบบประคับประคอง

Main Article Content

สุกัญญา มีสกุลทอง

บทคัดย่อ

การดูแลแบบประคับประคองเป็นแนวทางการดูแลเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้ายและครอบครัวให้สามารถผ่านความทุกข์ยากจากการเจ็บป่วยด้วยความร่วมมือจากทีมสหวิชาชีพ บทความวิชาการฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนการประเมินจิตสังคมในงานดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง


ผลการศึกษาพบว่า งานบริการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์มีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวปรับตัวและมีชีวิตอย่างมีคุณภาพซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายแนวคิดการดูแลแบบประคับประคอง ตามกระบวนทัศน์ทางสังคมสงเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินจิตสังคมมี 2 ลักษณะ ได้แก่ (1) การประเมินจิตสังคมในเชิงคุณภาพ (2) การประเมินจิตสังคมในเชิงปริมาณ จุดร่วมที่เหมือนกันคือมีกรอบประเมินผู้ป่วย ครอบครัว และบริบทแวดล้อมที่เป็นแหล่งสนับสนุน แต่การประเมินเชิงคุณภาพเน้นรายละเอียดและประเมินอย่างเป็นองค์รวม ต่างจากการประเมินเชิงปริมาณที่เน้นเรื่องเฉพาะเจาะจงและประเมินเป็นค่าคะแนน จึงเป็นประโยชน์ในการประมวลผลและการสรุปข้อมูลเชิงสถิติ แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินแต่ละแบบมีข้อจำกัด ความละเอียดและความครอบคลุมของการประเมินเชิงคุณภาพจะขึ้นอยู่กับทักษะของนักสังคมสงเคราะห์ ส่วนการประเมินเชิงปริมาณต้องใช้การตีความข้อคำถาม ขาดข้อคำถามการแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยและผู้ดูแล และอาจไม่ได้รับความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม เพราะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยหรือไม่เต็มใจตอบแบบสอบถาม


ข้อเสนอแนะในการประเมินจิตสังคม คือ การผสมผสานระหว่างวิธีการประเมินเชิงคุณภาพและการประเมินเชิงปริมาณ โดยนักสังคมสงเคราะห์ควรใช้การประเมินเชิงคุณภาพก่อนแล้วจึงประเมินเชิงปริมาณ และใช้การประเมินเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณซ้ำเพื่อประเมินเชิงลึกและเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
มีสกุลทอง . ส. . (2020). การประเมินจิตสังคมสําหรับนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ในงานดูแลผู้ป่วย แบบประคับประคอง. วารสารธรรมศาสตร์, 39(2), 90–108. สืบค้น จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/271539
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2562). กองยุทธศาสตร์และแผนงานสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. นนทบุรี: กองยุทธศาสตร์และแผนงานสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.

กิตติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2557). การประชุมครอบครัวในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย. ในรายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการ (Proceedings) เนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร ปีที่ 60 เรื่อง “60 ปี คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ :คุณค่าของวิชาชีพ และพ ลังสู่การพัฒนาสังคม”, (12-27). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ สถาบันราชานุกูล. (2559). แบบฟอร์มการสรุปผลงานพัฒนาคุณภาพ ปี 2559. สืบค้นเมื่อ 31 มีนาคม 2563, จาก https://th.rajanukul.go.th/_admin/filedownload/5-5587-1470297627.pdf.

เครือข่ายพุทธิกา. (2561). เผชิญความตายอย่างสงบ. สืบค้นเมื่อ 29 มีนาคม 2563, จาก http://budnet.org/project/โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ/.

ชานนท์ โกมลมาลย์. (2560). พื้นฐานสังคมสงเคราะห์สุขภาพจิต. กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี. (2554). Palliative Care ในประเทศไทย และเครือข่าย Palliative Care ในโรงเรียนแพทย์. ใน ยุวเรศมคฐ์ สิทธิชาญบัญชา, อุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช, และศากุน ปวีนวัฒน์, การประชุมระดับชาติการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เรื่อง ความเชื่อมโยงของ การศึกษาไปสู่การปฏิบัติ, (7-20). กรุงเทพฯ: ออฟเซ็ท ครีเอชั่น

พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550. (2550). ราชกิจจานุเบกษา, 136(ตอนที่ 16ก), 1-18

ปราโมทย์ ประสาทกุล. (2543). ประชากรศาสตร์: สารัตถศึกษาเรื่องประชากรมนุษย์. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.

ปรียานุช โชคธนวณิชย์. (2561). การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและครอบครัว: การจัดบริการและ บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์คลินิก. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 26(2), 108-139.

ราชบัณฑิตสถาน. (2557). พจนานุกรมศัพท์ประชากรศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: อรุณการพิมพ์.

สายพิณ หัตถีรัตน์. (2552). ถึงเวลาของฉันแล้วใช่มั้ยหมอ. ใน ประเสริฐ เลิศสงวนสินชัย, อิศรางค์ นุชประยูร, พรเลิศ ฉัตรแก้ว และ ฉันชาย สิทธิพันธุ์, การดูแลผู้ป่วยระยะ

สุดท้าย End of Life Care Improving Care of The Dying, ( 37-39) . กรุงเทพมหานคร: อักษรสัมพันธ์.

สมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย. (2563). ความเป็นมาของสมาคมฯ. สืบค้นเมื่อ 29 มีนาคม 2563. จาก http://www.thaps.or.th/%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%a1%

e0%b8%b2/.

สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2557). ประชากรสูงวัย: ปัจจุบันและอนาคต. กรุงเทพมหานคร: สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์.

อรรถกาญจน์ ธนทวีสกุล. (2556). คุณภาพชีวิตและความต้องการการสนับสนุนทางสังคมของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาการบริหารและนโยบายสวัสดิการสังคม, สังคมสงเคราะห์ศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์).

Kubler-Ross, E. (2525). ความตายกับภาวะใกล้ตาย (มาลินี วงศ์พานิช). กรุงเทพมหานคร: สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. (1969).

APHN. (2020). About as. Retrieved March 29, 2020, from https://aphn.org/about-us/.

Baines, M. (2011). From pioneer days to implementation: lessons to be learnt. European Journal of. Palliative Care, 18(5), 223–227.

Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME). (2018). Global Burden of Disease Study 2017 (GBD 2017) Results. Seattle, United States: Institute for Health Metrics and Evaluation (IHME).

National Association of Social Workers. (2004). NASW standards for Palliative and End of Life Care. Washington, DC: National Association of Social Workers.

National Clinical Programme for Palliative Care. (2014). Palliative Care Needs Assessment Guidance. Dublin: National Clinical Programme for Palliative Care.

Oliver, D. P., Wittenberg-Lyles, E., Washington, K. T., & Sehrawat, S. (2009). Social Work Role in Hospice Pain Management: A National Survey. Journal of Social Work in End-of-Life & Palliative Care, 5(1-2), 61-74. doi:10.1080/15524250903173900

Omran, A. (1971). The Epidemiologic Transition: A Theory of the Epidemiology of Population Change. The Milbank Memorial Fund Quarterly, 49(4), 509-538. doi:10.2307/3349375

Palliative care Australia. (2020). What is Palliative care?. Retrieved March 30, 2020, from https://palliativecare.org.au/wp-content/uploads/dlm_uploads/2016/05/What-is-Palliative-Care-A4.pdf.

Rakic, M., Escher, M., Elger, B. S., Eckstein, S., Pacurari, N., Zwahlen, S., & Wienand, I. (2018). Feelings of Burden in Palliative Care: A Qualitative Analysis of Medical Records. Journal of Palliative Care, 33(1), 32–38. doi.org/10.1177/0825859717750522

Reese, D. J., Raymer, M., Orloff, S. F. et al. (2006). The Social Work Assessment Tool (SWAT). Journal of Social Work in End-of-Life & Palliative Care, 2(2), 65-95. doi:10.1300/J457v02n02_05

Reese, D. J. , & Csikai, E. L. (2018). Social Work Assessment and Outcomes Measurement in Hospice and Palliative Care. American Journal of

Hospice and Palliative Medicine, 35(12), 1553–1564. doi.org/10.1177/1049909118788342

Taylor, B. (2012). Developing an Integrated Assessment Tool for the Health and Social Care of Older People. The British Journal of Social Work, 42(7) , 1293-1314.

Vallath N. , Salins N. (2017) . Holistic Supportive Care in Oral Cancer: Principles and Practice. In Kuriakose M. (eds), Contemporary Oral Oncology. Cham: Springer.

Veloso, V., & Tripodoro, V. (2016). Caregivers burden in palliative care patients: A problem to tackle. Current opinion in supportive and palliative care, 10(4), 330–335. doi:10.1097/SPC.0000000000000239

Victoria Hospice Society. (2001). Palliative Performance Scale (PPSv2) version 2. Retrieved from http://www.npcrc.org/files/news/palliative_performance_scale_PPSv2.pdf. Accessed March 31, 2020.

Vongvasinkul, P., Punlainak, N., Kijpaisalratana, N., et al. (2018). Chula Stroke selfhelp group: a tool for empowering stroke patient. Neuroimmunol Neuroinflammation, 37(5), 6. doi: 10.20517/2347-8659.2018.45

WHO. (2014). Global Atlas of Palliative Care at the End of Life. London: Worldwide Palliative Care Alliance.

WHO. (2016). Planning and implementing palliative care services: a guide for programme managers. Geneva: World Health Organization.

WHO. (2018). Palliative Care. Retrieved March 26, 2020, from https://www.who.int/ news-room/fact-sheets/detail/palliative-care.