กระบวนการสร้างสรรค์การแสดงร่วมกับดิจิทัลมีเดียเทคโนโลยีในโครงการละครแนวทดลอง เล่นเป็นเล่นตาย (DEATH STUDIES)

Main Article Content

ณวดี เศรษฐเมธีกุล

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์กระบวนการการสร้างสรรค์ละครเวทีซึ่งนำดิจิทัลมีเดียเทคโนโลยีมาใช้กับระบบภาพ และผสมผสานกับการแสดงละครเวทีโดยไม่ลดทอนความสำคัญของการแสดง โดยมีวัตถุประสงสงค์ที่จะศึกษากระบวนการทำงานของผู้กำกับ และนักแสดงในการแสดงที่นำดิจิทัลมีเดียเทคโนโลยีมาใช้ในระบบภาพ เช่น การเตรียมความพร้อมและการซ้อมการแสดง การทดลองใช้เทคนิคการแสดงในรูปแบบต่าง ๆ และการแสดงโต้ตอบกับงานโมชั่นกราฟิก (motion graphic) ที่มีระบบการทำงานในรูปแบบแอนิเมชั่น (animation) ซึ่งเคลื่อนไหว และลวงสายตาได้ เป็นต้น อีกทั้งยังศึกษาการทำงานของผู้กำกับ และทีมสร้างสรรค์ละครเวทีในฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ผู้ออกแบบโมชั่นกราฟิก (motion graphic designer) ผู้ออกแบบแสงสำหรับละครเวที (lighting designer) ผู้ออกแบบเสียง (sound designer) ผู้ออกแบบฉาก (scene designer) และผู้ออกแบบ เสื้อผ้า (costume design) เป็นต้น ในส่วนของรูปแบบการศึกษาวิจัยใช้รูปแบบการทำงานสร้างสรรค์โดยให้การปฏิบัติ และผลลัพธ์ของการปฏิบัติเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความรู้ใหม่ (practice-based research) ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ละครเวที 4 เรื่องที่ได้เข้าร่วมโครงการละครแนวทดลองเล่นเป็นเล่นตาย (Death Studies) ประกอบด้วยละครเวทีเรื่อง "As Above So Below", "Trip". "Loops" ซึ่งออกแบบสร้างสรรค์โดยอาสาสมัคร และละครเวทีเรื่อง "Doppelganger (2023)" ที่ออกแบบสร้างสรรค์ ประพันธ์บทละคร และ กำกับการแสดงโดยผู้วิจัย ผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้กำกับการแสดงและและนักแสดงที่ได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในโครงการละครแนวทดลองจำนวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า ผู้กำกับการแสดง และนักแสดงจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับบทบาท และความหมายของเนื้อหาของภาพ (visual) โดยการจัดการความสมดุลของการใช้ดิจิทัลมีเดียกับทุก ๆ องค์ประกอบในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การแสดง และการเคลื่อนไหวร่างกายบนเวทีไม่ถูกลดทอนด้วยภาพ (visual) แต่ในทางกลับกันภาพ (visual) ที่ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสนับสนุน และขับเน้นแก่นสารของการแสดง ผู้กำกับการแสดง และนักแสดงจำเป็นต้องตีความความหมายของทุกองค์ประกอบเช่น ภาพ (visual) ซึ่งช่วยขยายภาวะของตัวละคร แสง เสียง ที่ปรากฎในการแสดง และสร้างความเชื่อมโยง การตื่นรู้ และปฏิกิริยาโต้ตอบ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
เศรษฐเมธีกุล ณ. (2025). กระบวนการสร้างสรรค์การแสดงร่วมกับดิจิทัลมีเดียเทคโนโลยีในโครงการละครแนวทดลอง เล่นเป็นเล่นตาย (DEATH STUDIES). วารสารธรรมศาสตร์, 44(1), 178–199. สืบค้น จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/280322
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ภาษาไทย

พชญ อัคพราหมณ์. (ม.ป.ป.). ละครประยุกต์ (Applied Theatre). [เอกสารประกอบการสอนรายวิชา FA423401]. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

พรรณี ลีกิจวัฒนะ. (2559). วิธีการวิจััยทางการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 11). มีน เซอร์วิสซัพพลาย.

มัทนี รัตนิน. (2546). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศิลปะการกำกับการแสดงละครเวที (พิมพ์ครั้งที่ 2). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

สดใส พันธุมโกมล. (2531). เอกสารประกอบการสอนวิชาปริทัศน์ศิลปการละคร. คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สมพร ฟูราจ. (2552). ละครแบบโต้ตอบ Interactive Theatre. ศิลปกรรมสาร, 4,116-123.

ไทยแวร์ Thaiware. (2563, 15 ตุลาคม). Resolume Arena (โปรแกรมควบคุมเอฟเฟค ภาพ และเสียง ประกอบเวทีการแสดง). https://software.thaiware.com/9802-Resolume-Arena-Download.html

ภาษาอังกฤษ

ARS ELECTRONICA. (2024). 4D box / SH4D0W — An AI performance in 3D. Retrieved November 20, 2024 from https://ars.electronica.art/planetb/en/4d-box-sh4d0w/

Candy, L. (2006). Practice Based Research: A Guide. Retrieved November 20, 2024 from

http://www.creativityandcognition.com/resources/PBR%20Guide-1.1-2006.pdf

Clurman, H. (1997). On directing. Simon & Schuster Inc.

Darley, A. (2004). Visual digital culture, surface play and spectacle in new media Genres. Routledge.

Dixon, S. (2007). Digital Performance. A history of New Media in Theater, Dance . The MIT Press.

Malone K. & Scott-White G. (eds.). (2006). Live movies. A field guide to new media for the performing arts. George Mason University.

Palmer, S. (2006). A place to play - experimentation and interactions between technology and performance. In White, C.A. & Oddey, A (eds.) The potentials of spaces : International scenography and performance for the 21st century, Intelle Books, pp. 105-118.