ระบำนาฏยบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์

Main Article Content

ประจักษ์ ไม้เจริญ

บทคัดย่อ

รอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร เป็นรอยพระพุทธบาทแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีทั้งหมด 7 รอย  ซึ่งถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนรูปแบบหนึ่ง รอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์นี้น่าสนใจว่าเหตุใดจึงมีถึง 7 รอย และควรส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักทั่วไป ผู้วิจัยจึงได้ทำ การวิจัยสร้างสรรค์ โดยกำหนดวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ วัดพระพุทธบาทน้ำทิพย์  ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร 2) เพื่อสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์ชุด ระบำนาฎยบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ ในการวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการ เก็บข้อมูลรวบรวมจากเอกสาร การวิพากย์ และการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ประวัติความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ พระอาจารย์บุญมี เขมธัมโม ได้นิมิตเห็นรอยพระพุทธบาทจึงเดินธุดงค์ตามหาเเละพบรอยพระพุทธบาท 7 รอย ที่อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร  โดยมีลักษณะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยเท้าเท้าซ้ายแล้วเท้าขวาสลับกันไป บางรอยมีลักษณะเดินด้วยส้นเท้า แต่รอยที่ 7 มีลักษณะเดินเต็มเท้าออกมาจากปากถ้ำและมีน้ำไหลตามรอยพระพุทธบาทชาวบ้านได้นำน้ำที่ไหลผ่านรอยพระพุทธบาททั้ง 7 รอย ไปดื่มกินรักษาโรคปรากฏว่า โรคต่างๆหายจึงได้เรียกกันว่า รอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ พระอาจารย์จึงสร้างมณฑปครอบไว้  การสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์ชุด ระบำนาฏยบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ พบว่า ชื่อชุดการแสดงมาจาก ชื่อของรอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ ใช้เพลงดนตรีทํานองสมัยใหม่ผสมกับเพลงภูไทสกลนคร กําหนดรูปแบบการแสดงออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก เล่าถึงการสักการบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ ช่วงที่สอง เล่าถึงการรําบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ เชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยมาสักการะบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์  การสร้างสรรค์ท่ารำที่ผสมผสานท่ารําฟ้อนภูไทกับท่ารําสมัยใหม่เข้าด้วยกัน จัดรูปแบบการแปรแถวในรูปแบบต่าง ๆ ตามทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ จํานวนทั้งหมด 37 ท่ารำ 17 แถว การเเต่งกายแบบชาวบ้านที่ใส่ไปไหว้สักการะบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคนภูไทโดยแท้ จะสวมเสื้อเเขนกระบอกสีขาว ผ้าถุงคราม สไบขาว ต่างหู สร้อยคอ ข้อมือเเละเข็มขัดทำด้วยเงิน ศีรษะประดับด้วยกระสวยไหม ทัดดอกอินทนิลสีม่วง การแต่งหน้าเน้นความสวยงาม  ทรงผมแสกกลางมัดรวบขึ้นตรงกลางศีรษะและมวยผมขึ้น ผู้แสดงทั้งหมด 8 คน เป็นผู้หญิง การแสดงชุดนี้สามารถแสดงได้ในงานต่างๆ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ไม้เจริญ ป. (2025). ระบำนาฏยบูชารอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 20(2), 92–112. สืบค้น จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PNRU_JHSS/article/view/280781
ประเภทบทความ
บทความวิจัย (Research Article)

เอกสารอ้างอิง

Adulyanukosol, K. (2008). Sea-Cow. Bangkok: Marine and Coastal Resources Research and Development Institute.

Butda, K.. (2005). Apsara worship Sri Sikhresuan. Thesis for the degree of Education. Graduate of Rajamangala University of Technology Thanyaburi Kriangsak.

Charoenwongsak. (2002). Creative thinking. Bangkok: Success Media.

Ketsadet, B. (1993). Concepts related to cultural integration. Ubon Ratchathani: Yongsawat Printing.

Kongkaew, J. (2016). Buddhist art in the footprints of the Buddha. Department of Buddhism.Graduate School, Chulalongkorn University.

Kettes, B. (1993). Lae Lod Wannakham. Bangkok: O.S. Printing House.

Kapklon, P. (1995). Aesthetic Theory. Bangkok: Thai Wattana Panich.

Phromnophas, K.. (2003). Traiphat Buangswang Dance. a thesis for the degree of Education. Graduate of Rajamangala University of Technology Thanyaburi.

Roger, M. (1962). Diffusion of Innovation. New York: The Free Press.

Saihu, P. (1978). Beneficial Values and Harmful in Thai Society. Bangkok: TU Digital Collections

Saihu, P. (1988). Guidelines for Promuting and Dissemingting Locol Culture Council.

Sensai, P. (2004). "The Stream of Isan Dance". Khon Kaen, Nanawitthaya Archive.

Srisuwan, R. (2003). The Study of Creation of Southern Folk Dance. Songkhla Rajabhat University.

Thepnarong, K.. (2021). Dance of worship of the Kuhaphimuk. Thesis for the degree of Education. Graduate of Yala Rajabhat University.

Viroonrak, S. (2005). Dancing Arts in the Reign of King Rama the IX. Bangkok: Chulalongkorn University.

Wiradet, N. (2004). Dance in Worship of the Buddha's Image. Thesis for the degree of Education.Graduate of Rajamangala University of Technology Thanyaburi.