การพัฒนาศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัดนราธิวาส

Main Article Content

นงลักษณ์ ลิ่มทวีกูล
แวปา วันฮุสเซนต์

Abstract

งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศาสนาสถานโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัดนราธิวาส มีระยะดำเนินการ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 - 31 พฤษภาคม 2556 แบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ ระยะที่ 1 
ศึกษาสภาพปัญหา/ความต้องการ ในประเด็นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพ ระยะที่ 2 การวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณ
สุขระดับตำบล  อีหม่าม  ผู้นำชุมชน  ผู้แทนวัด จำนวน 20 คน ระยะที่ 3 การวางแผนร่วมกับภาคเครือข่ายเพื่อพัฒนาศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพตามสภาพปัญหาในพื้นที่ความต้องการของพื้นที่ ระยะที่ 4 การดำเนินกิจกรรมพัฒนา ศาสนสถานส่ง
เสริมสุขภาพตามสภาพปัญหาและความต้องการของพื้นที่โดยการให้องค์กรต่างๆ มีส่วนร่วม และระยะที่ 5 ประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบประเมินเกณฑ์มาตรฐานศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ และ
การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่าศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพ จังหวัดนราธิวาสมีจำนวนรวม 773 แห่ง เมื่อมีการพัฒนาโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เมื่อแยกเป็นสถานที่วัด มัสยิด และสถานศึกษาปอเนาะ พบว่า จำนวนวัด 73 แห่ง ผ่านเกณฑ์
การประเมินมาตรฐานศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 95.89 จำนวนมัสยิด 638 แห่ง ผ่านเกณฑ์การประเมินมาตรฐานศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 90.12 และจำนวนปอเนาะ 62 แห่ง ผ่านเกณฑ์การประเมินมาตรฐานศาสน
สถานส่งเสริมสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 80.64 จากผลการศึกษาผู้วิจัยเสนอว่า การพัฒนาศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืนต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนในชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 
สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนราธิวาส เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของระบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชนโดยใช้ศาสนสถานเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้
ด้านสุขภาพคำสำคัญ : ศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพ การมีส่วนร่วมของชุมชน

Article Details

How to Cite
ลิ่มทวีกูล น., & วันฮุสเซนต์ แ. (2014). การพัฒนาศาสนสถานส่งเสริมสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัดนราธิวาส. Princess of Naradhiwas University Journal of Humanities and Social Sciences, 1(2). Retrieved from https://so05.tci-thaijo.org/index.php/pnuhuso/article/view/53497
Section
Research Article