พระสงฆ์กับความขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่น : ศึกษาเฉพาะกรณี พระครูวิบูลสิทธธิรรม เจ้าอาวาสวัดหนอมพยอม จังหวัดพิษณุโลก
คำสำคัญ:
พระสงฆ์, ความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่น, พระครูวิบูลสิทธิธรรมบทคัดย่อ
พระครูวิบูลสิทธิธรรมมีแนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งในชุมชนว่า มาจากการขาดคุณภาพชีวิตที่ดี หาก ประชาชนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่พร้อม ความขัดแย้งจะไม่บังเกิด การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องสร้างความเข้มแข็ง ให้กับคุณภาพชีวิตของประชาชนก่อน การเริ่มต้นดำเนินโครงการกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ มีผลให้ความขัดแย้งของคน ในชุมชนทั้งในด้านการดำรงชีวิต ด้านการเมืองได้ถูกลดระดับลงไป สำหรับชุมชนชุมแสงสงครามความขัดแย้งจึงไม่ใช่ ปัญหาที่ไร้ทางออก กลับกลายเป็นกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ของชาวบ้านในการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งเป็น ความร่วมมือผ่านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พระครูวิบูลสิทธิธรรมพยายามดำเนินการเพื่อสร้างชุมชนให้เป็น ชุมชนแห่งความเมตตา ผู้คนมีความไว้วางใจกัน จึงส่งผ่านแนวคิดดังกล่าว ผ่านรูปแบบการเลือกตั้งในท้องถิ่นที่เน้น การสร้างการเมืองเคลื่อนเข้าหาความสมานฉันท์ และผ่านการบริหารงานของผู้นำท้องถิ่นที่เน้นการสร้างความไว้วางใจ ความจริงใจ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในชุมชนโดยกระทำในรูปของการทำประชาคมทุกหมู่บ้าน สร้างความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ
เอกสารอ้างอิง
2. สิริวัฒน์ คำวันสา. (2544). เอกสารประกอบการฝึกอบรมหลักสูตรโครงการเสริมความรู้ถวายพระสงฆ์เพื่อการพัฒนาสังคมไทย. สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
3. วันชัย วัฒนศัพท์. (2547). การจัดการความขัดแย้งและการขอโทษ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: โรงพิมพ์ศาลาแดง.
4. วันชัย วัฒนศัพท์. (2547). ความขัดแย้งหลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฃ
5. สถาบันยุทธศาสตร์. (2544). สันติวิถี : ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อความมั่นคง. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สูตรไพศาล.
6. สถาบันยุทธศาสตร์. (2544). การมีส่วนร่วมของประชาชนความยั่งยืนของประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร : หจก.ธรรมกมล การพิมพ์.
7. สถาบันยุทธศาสตร์. (2548). สันติวิถีกับความยั่งยืนของประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยปทุมธานี
ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่อง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และไม่มีส่วนรับผิดชอบใด ๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว