แนวทางการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนการบริบาลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทย
คำสำคัญ:
การบริบาลผู้บาดเจ็บ, อุบัติเหตุบนท้องถนน, การพัฒนาเพื่อความยั่งยืนบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแนวทางทางการพัฒนาความยั่งยืนการบริบาลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยเป็นการวิจัยเชิงประยุกต์แบบผสานวิธี (Mix Method) คือใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) จากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ได้แก่การศึกษาข้อมูลเชิงเอกสาร สถิติหน่วยงาน เอกสารงานวิจัยและอื่นที่เกี่ยวข้อง และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ผลการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่ามีประชากรไทยบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติบนท้องถนนทั้งหมด 2,676,919 คน มีแนวโน้มลดลงจาก พ.ศ. 2561 จาก 595,946 คน เป็น 467,259 คน ในปี พ.ศ. 2565 เขตสุขภาพที่มีจำนวนการบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติบนท้องถนนมากที่สุดคือ เขตสุขภาพที่ 6 จำนวน 299,450 คนรองลงมา คือเขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 294,117 คน และเขตสุขภาพที่ 5 จำนวน 249,665 คน ยอดสะสมผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงปี พ.ศ. 2561-2565 จำนวน 92,002 คน มีแนวโน้มการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลงในปี พ.ศ. 2561 มีผู้เสียชีวิตจำนวน 19,931 คน และลดลงในปีพ.ศ. 2565 จำนวน 17,379 คน อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อประชากรแสนราย จาก 30.47 ในปี พ.ศ. 2561 เหลือ 26.65 ในปี พ.ศ. 2565 โดยช่วงอายุ 15-24 ปี ทั้งเพศชายและเพศหญิงเป็นกลุ่มที่มีการบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงที่สุด เพศชายมีอัตราส่วนของผู้บาดเจ็บเสียชีวิตสูงกว่าเพศหญิงถึง 2 เท่า ด้านพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน พบว่ามีพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ พฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และการดื่มแอลกอฮอล์
จำนวนการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนประเภทผู้ป่วยนอกสูงสุดสามอันดับแรกในเขตสุขภาพที่ 6 เขตสุขภาพที่ 1 และเขตสุขภาพที่ 5 ตามลำดับ จึงเป็นข้อสังเกตว่าในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในด้านอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าและมีถนนทางหลวงพิเศษและทางหลวงแผ่นดินผ่านการดำเนินการด้านความปลอดภัย ควรมุ่งเป้าไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและการพัฒนาระบบการบริบาลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุบนท้องถนนให้มีศักยภาพ เมื่อพิจารณาจากรายงานระดับการพัฒนาสมรรถนะระบบการแพทย์ฉุกเฉินภาพรวมระดับภาคในเขตภาคเหนือและภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่ของเขตสุขภาพที่ 6 และ 1 มีระดับพัฒนาสมรรถนะระบบการแพทย์ฉุกเฉิน “ระดับพื้นฐาน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าควรต้องมีการสนับสนุนให้มีการพัฒนาทุกรูปแบบเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียมและมีมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศไทย
เอกสารอ้างอิง
กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน. “แผนยุทธศาสตร์กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ระยะ 5 ปี พ.ศ. 2566-2570”. (ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก: http://roadsafefund.dlt.go.th/images/2566-2570/y2556 2570_compressed.pdf, 2566.
ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์, กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สถาบันหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. “คู่มือมาตรฐานศูนย์บริบาลผู้บาดเจ็บ สำหรับประเทศไทย”. (ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก: https://www.rcst.or.th/web-upload/filecenter/CoverATLS2013-TH.pdf, 2554.
ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน. “แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2565 - 2570 Thailand Road Safety Master Plan 2022-2027. (ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก:https://backofficeminisite.disaster.go.th/apiv1/apps/minisite_roadsafety/192/sitedownload/7377/download?TypeMenu=MainMenu&filename=ae8bb42b9a0f7d84a7879ec8da8a4a36.pdf, 2565.
World Health Organization. “Global status report on road safety 2023”. (Online). Available: https://www.who.int/teams/social-determinants-of-health/safety-and-mobility/global-status-reporton-road-safety-2023, 2023.
World Health Organization. “Preventing injuries and violence: an overview”. (Online). Available: https://www.who.int/publications/i/item/9789240047136, 2022.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฏฐาภิรักษ์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความ ข้อเขียน หรือความคิดเห็นในนิตยสารนี้เป็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับวิทยาลัย ป้องกันราชอาณาจักรและทางราชการแต่อย่างใด