รูปแบบการพัฒนาสำนักปฏิบัติธรรมตามหลักสัปปายะ 7 ของวัดห้วยเจริญ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาหลักสัปปายะ 7 ในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของสำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยเจริญ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) รูปแบบการพัฒนาสำนักปฏิบัติธรรมตามหลักสัปปายะ 7 ของสำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยเจริญ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบภาคสนาม และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 รูป/คน
ผลการวิจัยพบว่า สัปปายะ 7 คือ สภาพที่เอื้ออำนวย สภาวะที่เกื้อหนุน เกื้อกู(3) เรื่องการพูดคุย (4) บุคคล (5) อาหาร (6) สภาพดินฟ้าอากาศ และ (7) อิริยาบถ เป็นที่สบาย มีความเหมาะสมต่อการบำเพ็ญเพียรภาวนา ทั้งการเจริญสมถะและวิปัสสนาภาวนา สภาพทั่วไปของสำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยเจริญ มีการพัฒนาทั้งเสนาสนะ และบริเวณสำนักปฏิบัติธรรมร่มรื่นด้วยต้นไม้และสวนป่า สะอาดเหมาะสมต่อการเข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ตามหลักคำสอนและแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานของพระพุทธเจ้า โดยพัฒนาสำนักปฏิบัติธรรมตามหลักสัปปายะ 7 การพัฒนาสำนักปฏิบัติธรรมตามหลักสัปปายะ 7 ของสำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยเจริญ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี มีการแก้ปัญหาและอุปสรรคตามหลักสัปปายะ 7 และทบทวนงานการพัฒนาที่ผ่านมาภายใต้วงจร PDCA เพื่อวางแผนการดำเนินงานและส่งเสริมการจัดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสัปปายะ 7 ให้เหมาะสมกับภาระหน้าที่ของบุคลากรและเจ้าหน้าที่แต่ละคน โดยระบุชื่อผู้รับผิดชอบ ภาระหน้าที่และระยะเวลา ในการดำเนินงาน เอกสารที่เหมาะกับสภาพและความต้องการของคณะกลุ่มบริหารจัดการวัด สามารถส่งเสริม ป้องกัน แก้ไขปัญหาและซ่อมแซมได้อย่างถูกจุดตามหลักสัปปายะ 7 อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งและเกี่ยงการทำงานของบุคลากรเจ้าหน้าที่ภายในวัด เมื่อทุกคนนำไปปฏิบัติแล้วจะเกิดประโยชน์ก่อให้เกิดปัจจัยที่เกื้อหนุนต่อผู้ที่มาปฏิบัติธรรม องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย คือ 7SMC (Model): 7S= Seven Sappaya (หลักสัปปายะ 7) M=Meditation (การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน 4) C=Center (สำนักปฏิบัติธรรมพัฒนาตามหลักสัปปายะ 7)
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ก่อนเท่านั้น
References
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระมหาวิเชียร ชาญณรงค์. (2547). “บทบาทพระสงฆ์ในการนาหลักธรรมมาใช้ทากิจกรรมงานพัฒนาชุมชน เพื่อ ลด ละ เลิก อบายมุข: ศึกษาเฉพาะกรณีพระครูศีลาวราภรณ์”. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พระมหาบุญมี อธิปุญฺโญ. (2544). “บทบาทของพระสังฆาธิการพัฒนาสังคม: ศึกษากรณีพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)”. วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย.
พระมหาสุภา อุทฺโท. (2541). “บทบาทของพระสงฆ์ต่อสังคมไทยใน 2 ทศวรรษหน้า”. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พระมหาอนันต์ ดอนนอก. (2540). “บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนตามโครงการอบรมประชาชนประจาตำบล ในจังหวัดนครราชสีมา”. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุทธิพงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์. (2541). พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม พร้อมด้วยระเบียบและคำสั่งมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวกับการคณะสงฆ์และการพระศาสนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ กรมการศาสนา,
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ข้อมูลวัดและพระสงฆ์ 2553. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.onab.go.th/ [31 สิงหาคม 2565].
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. จำนวนประชากร 2553. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.nso. go.th/ [31 สิงหาคม 2565].