ปัญหาและการพัฒนารูปแบบการจัดการงานวิจัยของกระทรวงมหาดไทย
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและพัฒนารูปแบบการจัดการงานวิจัยภายในและภายนอกกระทรวงมหาดไทย ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี เก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 15 คน และใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 97 คน วิเคราะห์ข้อมูลบรรยายเชิงพรรณนา และใช้การแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าเฉลี่ยความแตกต่างประชากร และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า (1) ปัญหาการจัดการงานวิจัยมีข้อค้นพบรายด้าน ได้แก่ นโยบายงานวิจัย พบว่าขาดนโยบายงานวิจัยภายในที่ชัดเจน และขาดการเปิดโอกาสให้หน่วยงานภายนอกร่วมทำวิจัย การจัดองค์กรงานวิจัย พบว่าบุคลากรภายในขาดความที่สนใจ ขาดทักษะ ประสบการณ์ทำวิจัย และไม่มีการกำหนดตำแหน่งนักวิจัย กฎ ระเบียบวิธีวิจัย พบว่าขาดระเบียบวิธีวิจัยกลางใช้ภายใน และขาดการเชื่อมโยงงานวิจัยจากภายนอก การประสานงาน พบว่าขาดการบูรณาการทำวิจัยภายใน และขาดการประสานความรู้ งบประมาณภายนอกและ (2) การพัฒนารูปแบบการจัดการงานวิจัยมีข้อค้นพบรายด้าน ได้แก่ นโยบายงานวิจัย พบว่านโยบายงานวิจัยภายในมีผลต่อการจัดการงานวิจัย และยึดนโยบายวิจัยระดับชาติให้สอดคล้องกับภารกิจ, การจัดองค์กรงานวิจัย พบว่าจำเป็นจัดหน้าที่โครงสร้างภายในให้ชัดเจน และการผลักดันให้มีสถาบันวิจัยระดับกรม กฎ ระเบียบ วิธีวิจัย พบว่า จำเป็นจัดทำระเบียบวิธีวิจัยกลางภายใน และระเบียบวิธีวิจัยตามแบบสากล การประสานงาน พบว่าศูนย์ประสานงานวิจัยกลางภายใน และการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกให้ความรู้วิจัยมีความจำเป็น ข้อเสนอแนะ (1) ควรกำหนดนโยบายงานวิจัยให้สอดคล้องกับภารกิจ (2) ควรจัดการหน้าที่ โครงสร้าง พัฒนาทักษะวิจัย (3) ควรจัดทำระเบียบวิธีวิจัยกลาง และ (4) ควรประสานงานความรู้วิจัย และแหล่งทุนภายนอก
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความวิชาการ บทความวิจัย และบทวิจารณ์หนังสือในวารสารดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน มิใช่ของคณะผู้จัดทำ และมิใช่ความรับผิดชอบของสมาคมปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (กรณีการทำวิจัยในมนุษย์ ผู้วิจัยต้องผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ และนำหลักฐานมาแสดง)
เอกสารอ้างอิง
Department of Provincial Administration, Academic and Planning Division. (2017a). Facilitating research administration and monitoring and evaluating performance in the missions of affiliated government agencies. (Development of research and monitoring and evaluation systems) 2017. pp.1-2 [In Thai]
Department of Provincial Administration, Academic and Planning Division. (2017b). Research strategy and follow up and evaluate the Department of Provincial Administration Ministry of Interior, Issue 2 (2017–2021). 60-63 [In Thai]
Research and Development Group. (2017). Research process for organizational development. Prince Damrong Rajanuphab Institute of Research and Development . Retrieved from http://www.stabundamrong.go.th/research/research1.htm [In Thai]
Deethonglang, P., Chanarat, S., Yen-akarn, C., Chonlathat, R., Sriputthangkun, K., Sanguansuk, T., Phankaew, N., & Herabat, T. (2018). Singapore government agencies. Certified by OpenGov Recognition of Excellence for the year 2018. Civil servants in the project to develop the new generation of change administrators, class 10. Civil Service Commission, p.39. [In Thai]
Pothisita, C. (2016). The science and art of qualitative research (3 rd ed.). Amarin Printing. [In Thai]
Wiratniphawan, W. (2016).Concepts and meanings of administration and management. Retriverd from http://www.wiruch.com. [In Thai]
Wattanasirichaigoon, S. (2014). Professional research management. HSRI FORUM pamphlet, 3(3), 3. [In Thai]
Isvilananda, S., & Pananurak, P. (2018). Research management for results and impacts: Concepts and case studies. National Science and Technology Development Agency. [In Thai]
Chantavanich, S., (2016). Qualitative research methods (24 th ed.). Chulalongkorn University Press. [In Thai]
Khwanngern, S. (2017).Principles of management. Se-Education. [In Thai]
Drennan, R. D. (2010). Statistics for archaeologists (2 nd ed.). Springer.
