การใช้ดุลพินิจและความเหมาะสมในการรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ: กรณีผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานนั้น
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ความหมายและลักษณะการใช้ดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน เรื่องผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้น (2) ลักษณะการลงโทษเจ้าพนักงานที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้น และ (3) แนวทางในการบังคับใช้กฎหมายและความเหมาะสมของหลักการไม่รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226/1 วรรคสอง ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ อันประกอบด้วย การค้นคว้าเอกสารทั้งของไทยและต่างประเทศ การเก็บข้อมูลภาคสนามโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายเพื่อรับฟังความคิดเห็น
ผลการวิจัย พบว่า การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญานั้น กฎหมายให้อำนาจแก่ศาลในการใช้ดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบอย่างกว้างขวาง โดยสามารถปรับใช้กฎหมายให้เหมาะสมและเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นรายกรณีได้ หากเจ้าหน้าที่กระทำการโดยมิชอบเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานชิ้นนั้นมา และพยานหลักฐาน มีคุณค่าในเชิงพิสูจน์ มีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือ เพื่อทราบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในการกระทำผิด ศาลควรรับฟังพยานหลักฐานชิ้นนั้นมาพิจารณาในคดีหลัก เพื่อเกิดความเป็นธรรม และรวดเร็วแก่ผู้เสียหายในคดีหลัก ทั้งยังพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาได้อีกด้วย ก่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาในคดีหลัก ทั้งนี้ หากจะมีการลงโทษเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการยับยั้งการกระทำการอันมิชอบเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐานนั้น ควรแยกการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่นั้นตามกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หรือการดำเนินการทางวินัย แล้วแต่กรณี
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความวิชาการ บทความวิจัย และบทวิจารณ์หนังสือในวารสารดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน มิใช่ของคณะผู้จัดทำ และมิใช่ความรับผิดชอบของสมาคมปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (กรณีการทำวิจัยในมนุษย์ ผู้วิจัยต้องผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ และนำหลักฐานมาแสดง)
เอกสารอ้างอิง
Charoenboon, K. (2006). Guide of disciplinary investigation, National Police Act B. C. 2547. 21 Century. [In Thai]
Jintasatean, C. (2010). The exception of exclusionary rule on improperly obtained evidence under section 226/1 of Thai criminal procedure code. Master’s Thesis of Law, Thammasat University. [In Thai]
Na Nakorn, K. (2006). Criminal procedure law (7th ed.). Winyuchon. [In Thai]
Phakdeethanakul, C. (2009). Description of evidence law (4th ed.). Jirarat Printing. [In Thai]
Phanruet, T. (2008). Hearing of evidence in a criminal case. Winyuchon. [In Thai]
Saendee, P. (2004). Serious discipline offense of police offi cers. Institute for Justice Research and Development Offi ce of Justice Affairs. [In Thai]
Sawaengsak, C. (2003). Description of offi cers liability for abuse (4th ed.). Winyuchon. [In Thai]
Singhanart, T. (2009). Description of evidence in civil laws and criminal laws. Krung Siam. [In Thai]
Sorsrisakorn, M. (1996). Hearing of evidences from wrongfully obtained: A case study of witness evidence and documentary evidence. Master’s Thesis of Laws, Thammasart University. [In Thai]
Vachanasawas, K. (1977). Principles of objections to hearing material evidence, documentary evidence acquired by illegally searching and confi scating in U.S.A. Law Journal, 9(3), 120-136. [In Thai]
Vachanasawas, K. (2008). Juridical explanations on the criminal procedure on prosecution in the pre-consideration process (6th ed.). Jirarat Printing. [In Thai]