การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนตามอนุสัญญาว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในบริบทข้ามพรมแดน ค.ศ.1991

Main Article Content

สิทธิ หลีกภัย
จำลอง โพธิ์บุญ

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนตามอนุสัญญาว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในบริบทข้ามพรมแดน ค.ศ. 1991 (อนุสัญญาเอสปู) และศึกษาแนวทางในการนำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนตามอนุสัญญาเอสปูไปใช้ในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และการพรรณนาตรรกะ ข้อมูลในงานวิจัยนี้คือข้อมูลทุติยภูมิโดยมีแหล่งที่มาจากตำรา บทความ งานวิจัย ตัวบทกฎหมาย เอกสารสำคัญ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และคำพิพากษาของศาลเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการศึกษาและวิเคราะห์หาคำตอบ


ผลการศึกษา พบว่า อนุสัญญาเอสปูเป็นอนุสัญญาที่กำหนดขั้นตอนกว้าง ๆ ในการดำเนินการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ในการนำอนุสัญญาเอสปูไปใช้ในทางปฏิบัติภาคียังต้องตกลงกันในรายละเอียดในอีกหลายประเด็นที่มิได้กล่าวไว้ในอนุสัญญาเอสปูแต่เป็นประเด็นที่มีความจำเป็นในการดำเนินการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนให้สำเร็จลุล่วง โดยคณะกรรมการเศรษฐกิจยุโรปแห่งสหประชาชาติได้จัดทำแนวทางที่มีชื่อว่าแนวทางการนำอนุสัญญาเอสปูไปใช้ในทางปฏิบัติ (Guidance on the Practical Application of the Espoo Convention) เพื่อเป็นแนวทางให้ภาคีนำไปใช้ในการทำความตกลงทวิภาคีหรือพหุภาคีเพื่อให้การดำเนินการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนตามอนุสัญญาเอสปู มีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้ยังได้นำความตกลงระหว่างภาคีฉบับหนึ่งมาศึกษาคือความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ว่าด้วยการนำอนุสัญญาว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในบริบทข้ามพรมแดนลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 ไปใช้ในทางปฏิบัติเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการทำความตกลงทวิภาคีเพื่อการนำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนตามอนุสัญญาเอสปูไปใช้ในภาคปฏิบัติ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
หลีกภัย ส., & โพธิ์บุญ จ. (2018). การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนตามอนุสัญญาว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในบริบทข้ามพรมแดน ค.ศ.1991. วารสารดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์, 8(1), 17–30. สืบค้น จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/phdssj/article/view/87246
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Atapattu, S. (2006). Emerging principles of international environmental law. New York: Transnational Publishers.

Birnie, P., & Boyle, A. (2002). International law and the environment (2nd ed). Oxford, England: Oxford University Press.

Craik, N. (2008). The international law of environmental impact assessment. Cambridge, MA: Cambridge University Press.

Department of ASEAN Affairs.(2013). ASEAN mini book (4th ed.). Bangkok: Author. [In Thai]

Ebbesson, J. (1999). Innovative elements and expected effectiveness of the 1991 EIA convention. Environmental Impact Assessment Review, 19(1), 47-55.

Economic Commission for Europe. (2006). Guidance on the practical application of the Espoo convention. Retrieved October 13, 2016, from https://www.unece.org/env/eia/guidance/practical.html

Economic Commission for Europe. (2016). Bilateral and multilateral agreements. Retrieved October 19, 2016, from https://www.unece.org/env/eia/resources/agreements.html

Malanczuk, P. (1997). Akehurst’s modern introduction to international law (7th ed.). London: Routledge.

Piwawatthanaphanit, P. (2016). Private international law (2nd ed.). Bangkok: Thammasat University Press. [In Thai]

Pollution Control Department. (2004). PCD and UN sustainable development. Retrieved December 23, 2012, form https://www.pcd.go.th/info_serv/en_pol_sustainable.htm [In Thai]

Popiel, B. (1995). From customary law to environmental impact assessment: A new approach to avoiding transboundary environmental damage between Canada and the United States, 22 B.C. Envtl. Aff. L. Rev. 447.

Sa Swangjang, K. (2006). Environmental impact assessment procedure (2nd ed.). Nakhon Pathom: Silpakorn University Press. [In Thai]

Sisunthon, C. (2011). Public international law 1 (9th ed.). Bangkok: Winyuchon. [In Thai]