การพัฒนากรมการสื่อสารทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
คำสำคัญ:
องค์กรแห่งการเรียนรู้, การพัฒนาองค์การบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มุ่งเพื่อศึกษาปัจจัยภายในองค์กรที่มีผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ศึกษากระบวนการการจัดการความรู้ที่มีผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และเสนอรูปแบบการ พัฒนากรมการสื่อสารทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากบุคลากรในองค์กร จ านวน 344 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปสถิติทางสังคมศาสตร์ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ โดยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า บุคลากรส่วนใหญ่มีอายุ 41 ปีขึ้นไป จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้ต่อเดือน 15,001 – 25,000 บาท สังกัดหน่วยงานศูนย์การโทรคมนาคมทหาร และมีการปฏิบัติงานงานมา มากกว่า 10 ปี ปัจจัยการจัดการความรู้ ระดับองค์กรภาพรวมมีผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้อยู่ที่ ระดับมากในทุกปัจจัย ปัจจัยการจัดการความรู้ ระดับบุคคลภาพรวมมีผลต่อองค์กรแห่งการเรียน รู้อยู่ที่ระดับมากในทุกปัจจัย ปัจจัยองค์กรแห่งการเรียนรู้ภาพรวม อยู่ที่ระดับมากในทุกด้าน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยการจัดการความรู้ ระดับองค์กรภาพรวม และรายด้านปัจจัย โครงสร้างองค์กร ปัจจัยวัฒนธรรมองค์กร ปัจจัยภาวะผู้นำ มีความสัมพันธ์ต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ ระดับสูงทิศทางเดียวกัน ส่วนปัจจัยการจัดการความรู้ ระดับองค์กร ปัจจัยเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความสัมพันธ์ต่อองค์การแห่งการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลางทิศทางเดียวกัน มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .69 ตามลำดับ ปัจจัยการจัดการความรู้ ระดับบุคคลภาพรวม และ รายด้านปัจจัยการสร้างความรู้ ปัจจัยการแลกเปลี่ยนความรู้ ปัจจัยการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ และปัจจัยการแสวงหาความรู้ มีความสัมพันธ์ต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ ระดับสูงทิศทางเดียวกัน สำหรับปัจจัยภาวะผู้นำ ปัจจัยโครงสร้างองค์กร ปัจจัยวัฒนธรรมองค์กร ปัจจัยการแสวงหาความรู้ ปัจจัยการสร้างความรู้ ปัจจัยการแลกเปลี่ยนความรู้ และปัจจัยการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มีผลต่อความสัมพันธ์เชิงบวกกับรูปแบบการพัฒนากรมการสื่อสารทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเป็น 0.95 และสามารถร่วมกันพยากรณ์องค์กรแห่งการเรียนรู้ ได้ร้อยละ 89 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.00 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์ เท่ากับ + 0.26 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ 3
เอกสารอ้างอิง
2. ภูษิต รุ่งแก้ว. (2555). การพัฒนารูปแบบองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม. หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยสยาม.
3. สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ และคณะ. (2554). “ศึกษาความสามารถในการจัดการความรู้กับความสามารถทางนวัตกรรมของผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมในประเทศไทย,” วารสารพัฒนาบริหารศาสตร์. (51) 1:2554
4. สุพิศาล ภักดีนฤนาถ. (2557). “การพลิกโฉมกองบังคับการปราบปรามสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้,” วารสารกระบวนการยุติธรรม. ปีที่ 7 เล่มที่ 1.
5. อภิชา ธานีรัตน์ และคณะ. (2555). รูปแบบการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ในกรุงเทพมหานคร. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยปทุมธานี
ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่อง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และไม่มีส่วนรับผิดชอบใด ๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว