พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลของพนักงาน แผนกบริการและอะไหล่ บริษัทโตโยต้าขอนแก่น ผู้หน่ายโตโยต้า จำกัด จังหวัดขอนแก่น
คำสำคัญ:
อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล, พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความ ปลอดภัยส่วนบุคคลบทคัดย่อ
การศึกษาพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลของพนักงาน แผนกบริการและอะไหล่ในบริษัท โตโยต้า ขอนแก่น ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลของพนักงาน แผนกบริการและอะไหล่ ในบริษัท โตโยต้า ขอนแก่น ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด จังหวัดขอนแก่น โดยได้เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ พนักงานแผนกบริการและอะไหล่ ในบริษัท โตโยต้าขอนแก่น ผู้จำหน่ายโตโยต้า กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การคำนวณจากสูตรของทาโร่ยามาเน่ (Yamane) โดยให้มีความคลาดเคลื่อนของการประมาณค่าเท่ากับ .05 ซึ่งสามารถหาขนาดกลุ่มตัวอย่างได้จำนวน 105 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วยสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (t-test) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F-test) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 81.9 และเพศหญิง ร้อยละ 18.1 มีอายุอยู่ระหว่าง 31-40 ปี ระดับการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ส่วนใหญ่ปฏิบัติงานในตำแหน่งช่าง และส่วนใหญ่มีประสบการณ์การทำงานต่ำกว่า 5 ปี คะแนนการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลของพนักงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.15) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า คะแนนการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลของพนักงานในด้านการจัดการ ( =4.26) สูงกว่าด้านการปฏิบัติงาน ( =4.03) ซึ่งอยู่ในระดับมากทั้งสองด้าน จากการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วยสถิติเชิงอนุมาน ผลการศึกษา พบว่า เพศชายและเพศหญิงมีคะแนนพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลไม่แตกต่างกันส่วนพนักงานอายุ 41-50 ปี มีคะแนนพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ด้านการปฏิบัติงานต่างกับพนักงานอายุ ต่ำกว่า 30 ปีและพนักงานอายุ 31-40 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยพนักงานที่มีประสบการณ์ทำงานต่ำกว่า 5 ปี มีคะแนนพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ด้านการปฏิบัติงานต่างกับพนักงานที่มีประสบการณ์ทำงาน 5-10 ปี และพนักงานที่มีประสบการณ์ทำงาน 11 ปี ขึ้นไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม. (2561). การดำเนินการตามนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จากhttps://www.tisi.go.th/website/service/ita_026 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561
บุญชม ศรีสะอาด, (2558). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.
ปรัชญา ไชยอิ่นคำ. (2556). ปัจจัยต่อการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.
วิชัย เหล่าเรืองโรจน์. (2555). “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลของพนักงานโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี”. วารสารวิชาการสาธารณสุข. ปีที่ 21 ฉบับที่ 2. หน้า 366-376.
กระทรวงแรงงาน. (2553). ประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานของลุกจ้าง. กระทรวงแรงงาน.
กองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม. (2562). สถานการณ์การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ปี 2557-2561. สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม.
สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน. (ม.ป.ป.). คู่มือการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหาร. กรุงเทพมหานคร
ปัญจ์ปพัชรภร บุญพร้อม และคณะ. (2560). “การศึกษาปัจจัยความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการทำงานของพนักงานในบริษัทซ่อมปั้มและวาล์ว”. วารสารวิชาการปทุมวัน. ปีที่ 8 ฉบับที่ 8. หน้า 20-26.
ธานินทร์ ศิลป์จารุ. (2559). การวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิตด้วย SPSS. นนทบุรี : เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์.
ณัฐชฎา พิมพาภรณ์. (2557). “การศึกษาความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการทำงานของพนักงานในอู่ซ่อมรถยนต์”. วารสารวิชาการสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.), ปีที่ 20 ฉบับที่ 1. หน้า 70-80.
Gross. D.J. (1973). Further research on accident rates in developing countries. Accident Analysis & Prevention. Vol. 18 No. 2. pp 119-127.
Yakubu D. M. & Bakri I. M. (2012). “Evaluation of Safety and Health Performance on Construction Sites”. Journal of Management and Sustainability. Vol. 3 No. 2. pp 100-109.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยปทุมธานี
ข้อความที่ปรากฎในบทความแต่ละเรื่อง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และไม่มีส่วนรับผิดชอบใด ๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว