ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพ ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลพรหมณี อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก

ผู้แต่ง

  • Channutcha Boonrat -

คำสำคัญ:

ความเชื่อด้านสุขภาพ, พฤติกรรมสุขภาพ, โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันตนเองและปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตอไม้แดง หมู่ที่ 10 ตำบลพรหมณี อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ซึ่งมีประชากรทั้งหมด 589 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 245 คน ได้จากการคำนวณโดยใช้สูตรของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) และสุ่มตัวอย่างแบบมีหลักเกณฑ์ (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .78 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน

ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรค COVID-19 อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 79.16) ทัศนคติอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 47.91) การรับรู้ความรุนแรง (ร้อยละ 73.75)  การรับรู้โอกาสเสี่ยง (ร้อยละ 77.91) และการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรค (ร้อยละ 76.66) อยู่ในระดับสูง ขณะที่การรับรู้อุปสรรคอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 79.16) และพฤติกรรมการป้องกันโรคอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 53.25) นอกจากนี้ ยังพบว่าระดับการรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมการรับรู้ด้านสุขภาพเพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการป้องกันโรคในประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ

เอกสารอ้างอิง

กชกร สมมัง. (2557). “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ของผู้รับบริการงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช”. วารสารสุขศึกษา. ปีที่ 37 ฉบับที่ 126. หน้า 8-21.

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. (2568). รายงานข้อมูลตำบลพรหมณี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://3doctor.hss.moph.go.th/main/rp_village

จารุวรรณ แหลมไธสง, ชนัญชิดาดุษฎี ทูลศิริ และ พรนภา หอมสินธุ์. (2559). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจของผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในศูนย์เด็กเล็ก กรุงเทพมหานคร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://nurse.buu.ac.th/rsh/file/journal/0000000334.pdf

ณัฏฐวรรณ คำแสน. (2564). “การเว้นระยะห่างทางสังคมและพฤติกรรมสุขภาพในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในประเทศไทย”. วารสารวิจัยสุขภาพ. ปีที่ 35 ฉบับที่ 3. หน้า 12-27.

ปิยะนันท์ เรือนคำ, สุคนธา คงศีล, สุขุม เจียมตน, ยุวนุช สัตยสมบูรณ์ และเพ็ญพักตร์ อุทิศ. (2565). “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชากรผู้ใหญ่: กรณีศึกษาเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร”. วารสารวิชาการสาธารณสุข. ปีที่ 31 ฉบับที่ 2. หน้า s247-s259.

พนัชญา ขันติจิตร, ไวยพร พรมวงค์, ชนุกร แก้วมณี และอภิรดี เจริญนุกูล. (2564). “แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของประชาชน ในจังหวัดอุบลราชธานี”. วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์. ปีที่ 5 ฉบับที่ 2. หน้า 39-53.

วิภาดา รูปงาม, มณีรัตน์ ธีระวิวัฒน์, อลงกรณ์ เปกาลี และนิรัตน์ อิมามี. (2567). “พฤติกรรมการป้องกันโควิด-19 หลังการระบาดของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มารับบริการ ณ สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง กระทรวงสาธารณสุข”. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม. ปีที่ 47 ฉบับที่ 1. หน้า 68-79.

สัญญา สุปัญญาบุตร. (2554). “ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด A (2009 H1N1) ของประชาชนอำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์”. วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น. ปีที่ 18 ฉบับที่ 2. หน้า 1-11.

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครนายก. (2564). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านสาธารณสุขจังหวัดนครนายก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ถึง 2579 ทบทวนปี 2565 และแผนปฏิบัติการด้านสุขภาพประจำปี 2565. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://nayok.moph.go.th/group/law/wp-ontent/uploads/2022/08/1

สุพิดา เย็นโภคา. (2553). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก. สารนิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและสถิติทางการศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

สุวัฒน์ อุบลทัศนีย์, ขนิษฐา สุนพคุณศรี. (2565). “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ประกอบการร้านอาหาร จังหวัดสุพรรณบุรี”. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี. ปีที่ 5 ฉบับที่ 2. หน้า 92-109.

Best, J. W. (1997). Research in education. (3rd ed). New Jersey: Prentice-Hall.

Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and psychological measurement. Vol 30 No. 3. pp 607-610.

Rosenstock, I. M., Strecher, V. J., & Becker, M. H. (1988). Social learning theory and the health belief model. Health Education Quarterly. Vol 15 No. 2. pp 175–183.

World Health Organization. (2020). Coronavirus disease (COVID-19) pandemic. [Online]. From https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019.

World Health Organization. (2021). Weekly epidemiological update on COVID-19. [Online]. From https://www.who.int/publications/m/item/weekly-epidemiological-update

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-06-29

รูปแบบการอ้างอิง

Boonrat, C. (2025). ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพ ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลพรหมณี อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี, 17(1), 37–50. สืบค้น จาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/ptujournal/article/view/279488