การพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM
คำสำคัญ:
ทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม, การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM , การประเมินความต้องการจำเป็นบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อวิเคราะห์คุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิด เชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 212 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามประเมินความต้องการจำเป็นของนักเรียนในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAMแผนการสอนตามกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM และแบบวัดทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม
ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) จำนวน 152 คน พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความต้องการจำเป็นในกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM ที่ต้องได้รับการพัฒนาในทุกด้าน โดยมีความต้องการจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเนื้อหาที่ใช้ในกิจกรรมมากที่สุด (PNImodified = 0.788) รองลงมา คือ บทบาทการเรียนรู้ของผู้เรียน อารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน และเจคติของผู้เรียน (PNImodified = 0.696, 0.606 และ 0.405 ตามลำดับ) เมื่อนำผลการประเมินความต้องการจำเป็นไปใช้ในการออกแบบและพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 6 หน่วยการเรียนรู้ (2) การวิเคราะห์คุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ระดับความเหมาะสมของกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านสื่อและแหล่งเรียนรู้มีคะแนนความเหมาะสมเฉลี่ยสูงที่สุด (M= 4.73, SD= 0.31) ตามด้วยด้านความสอดคล้องขององค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ (M = 4.73, SD= 0.31) ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ (M = 4.63, SD= 0.32) และด้านการวัดและประเมินผล (M = 4.20, SD= 0.00) 2) และ (3) ผลการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) จำนวน 60 คน ก่อนและหลังได้รับกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM พบว่านักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t =18.7; p <.001) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง STEAM สามารถทำให้นักเรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมได้
เอกสารอ้างอิง
Connor, A., Karmokar, S., & Whittington, C. (2015). From STEM to STEAM: Strategies for enhancing engineering & technology education.
Hart, S. (1996). Beyond Special Needs: enhancing children’s learning through innovative thinking. Sage.
Heij, W. d. (2013). Famous “innovation” quotes from Steve Jobs, Gunter Pauli, Einstein, Henry Ford and many others.
Kim, S.-W. (2015). STEAM Gyoyuk Gicho Irongwa Hyeonjang Jeogyong [Theory and Practice of STEAM Education]. Ewha Education Monograph Series, 2015–01, 52.
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607–610.
Lu, H., Hu, L., Liu, G., & Zhou, J. (2013). An innovative thinking-based intelligent information fusion algorithm. The Scientific World Journal, 2013.
Morad, S., Ragonis, N., & Barak, M. (2021). An integrative conceptual model of innovation and innovative thinking based on a synthesis of a literature review. Thinking skills and creativity, 40, 100824.
Morad, S., Ragonis, N., & Barak, M. (2021). The validity and reliability of a tool for measuring educational innovative thinking competencies. Teaching and Teacher Education, 97, 103193.
OECD. (1999). Knowledge Based Economy. Retrieved from http://www.oecd.org/officialdocuments/publicdisplaydocumentpdf/?cote=OCDE/G D%2896%29102&docLanguage=En
Prajan, O., & Chaemchoy, S. (2018). Administrative Model for Development Teacher’s Innovative Thinking Skills in the Basic Education School. Journal of Social Innovation and Lifelong Learning, 12(1), 156-169.
Rutherford, F. J., & Ahlgren, A. (1990). Science for all Americans. New York: Oxford University Press.
Siripatharachai, P. (2013). STEM education and 21st century skills development. Executive journal, 33(2), 49-56.
The 12th National Economic and Social Development Plan (2017-2021). National Legislative Assembly. 2014. Thai government gazette. http://www.senate.go.th/w3c/senate/pictures/comm/52/lawguide/law1/6.pdf
The 13th National Economic and Social Development Plan (2023-2027). National Legislative Assembly. 2014. Thai government gazette. https://www.nesdc.go.th/articleattach/articlefile20230307173518.pdf
Watted, A. (2023). Promoting innovative thinking and achievements in a massive open online course. IntechOpen. doi: 10.5772/intechopen.1001449
Wongwanich, S. (2562). Needs assessment research. (4). Bangkok : Chulalongkorn University Press.
Xu, Z., & Chen, H. (2010). Research and Practice on Basic Composition and Cultivation Pattern of College Students’ Innovative Ability. International Education Studies, 3(2), 51-55.
Yakman, G, (2008). STΣ@M Education: an overview of creating a model of integrative education. Pupils Attitudes Towards Technology 2008 Annual Proceedings. Netherlands.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
ห้ามนำข้อความทั้งหมด หรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสาร