รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนวัด ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ๒) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของ ๓) เพื่อเสนอรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงปริมาณสอบถามกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๔๐๐ คน สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๘ คน และสนทนากลุ่ม จำนวน ๙ คนใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า :
๑. การบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืนทั้ง ๕ ด้านโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมการรับประโยชน์ร่วมกัน ด้านการมีส่วนร่วมการระดมความคิด ด้านการมีส่วนร่วมการลงมือทำ ด้านการมีส่วนร่วมการวางแผน และด้านการมีส่วนร่วมการติดตามประเมินผล
๒. พัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืนด้วยกระบวนการของการมีส่วนร่วม ใน ๕ ด้านร่วมกับสภาพแวดล้อมของวัดที่เป็นไปตามหลักสัปปายะ ๗ รวมถึงกระบวนการขับเคลื่อนตามหลักการและวิธีการในการส่งเสริมวัดอุทยานการศึกษาตามเงื่อนไขความสำเร็จในบริบทของวัด ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานราชการ
๓. รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืนประกอบด้วย ๔ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ส่วนนำ ส่วนที่ ๒ ตัวแบบ ส่วนที่ ๓ ขั้นตอนการนำไปใช้ ส่วนที่ ๔ เงื่อนไขความสำเร็จการจัดสภาพแวดล้อมของวัดที่เป็นไปตามหลักสัปปายะ ๗ หลักการของการมีส่วนร่วมระดมความคิด วิเคราะห์ปัญหา การวางแผน ร่วมรับประโยชน์ร่วมกันตามกระบวนการของการมีส่วนร่วมพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ด้วยชุดความรู้ ผู้ให้ข้อมูลและผู้ถ่ายทอด การออกแบบจัดลำดับ กิจกรรมหรือกระบวนการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ สถานที่ การบริหารจัดการตามหน้าที่และอำนาจของเจ้าอาวาสร่วมขับเคลื่อนวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืนด้วยองค์ความรู้ TPL
Article Details
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสาร มจร บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ก่อนเท่านั้น
References
กรมการศาสนา, แนวทางการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางแสวงบุญในมิติทางศาสนา ปี ๒๕๕๗.
ทะเบียนวัดในประเทศไทย, [ออนไลน์วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔], Retrieved from http://www.thammapedia.com/ ceremonial/watthai_bypak.htm
บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร : สุริยาสานส์, ๒๕๔๓.
พระครูขันติวโรภาส (ขาว ขนฺติโก), “รูปแบบการพัฒนาวัดในกรุงเทพมหานครให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม”, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม : 2559.
พระครูวัฒนสุตานุกูล, “กระบวนการพัฒนาวัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคณะสงฆ์ไทย”, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย : 2557.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
วิกิพีเดีย, จังหวัดนนทบุรี, https://th.wikipedia.org/ [ออนไลน์วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๔]
วีระพน ภานุรักษ์และคณะ, “รูปแบบการเผยแพร่แหล่งการเรียนรู้ออนไลน์ เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม”, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 2559.
สำนักงานพระพุทธศาสนา, ข้อมูลพื้นฐาน ปี ๒๕๕๑, อ้างใน พระปลัดโฆษิต คงแทนและคณะ “รูปแบบการจัดการศึกษาของวัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน”, ดุษฎีนิพนธ์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล,๒๕๕๘.
สุทธิพงศ์ บุญผดุง, “การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก”, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2558.
Mark D. Regnerus. A Study on Religious Influences Affecting Youths’ Educational Perfermance in Disadvantaged Communities. United States of America : Baylor University, 2002.