การตัดสินใจใช้สิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตของผู้ป่วยทหารผ่านศึก
คำสำคัญ:
การตัดสินใจ, การใช้สิทธิ, ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข, วาระสุดท้ายของชีวิตบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตัดสินใจใช้สิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตของผู้ป่วยทหารผ่านศึก ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาคือผู้ป่วยทหารผ่านศึกที่พักรักษาตัวในหอผู้ป่วยอัมพาตของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกจำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก
ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยทหารผ่านศึกส่วนใหญ่มีอายุในช่วง 51-60 ปี นับถือศาสนาพุทธ เป็นบัตรทหารผ่านศึกชั้น 4 มากที่สุด มีสภาพความพิการ คือ อัมพาตครึ่งท่อนมากที่สุด มีระยะเวลารับการรักษามากที่สุดคือ 20 ปีขึ้นไป ความสัมพันธ์ของผู้ป่วยและครอบครัว ผู้ป่วยทหารผ่านศึกส่วนใหญ่ เลิกกับภรรยาเนื่องจากความพิการด้านร่างกาย จากแบบประเมิน The Barthel Activity of Daily Living scale พบว่าผู้ป่วยทหารผ่านศึกมีระดับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันคือ สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เองในระดับปานกลางมากที่สุด ผู้ป่วยทหารผ่านศึกเคยประสบการณ์กับภาวะใกล้ตายด้วยตนเอง และเคยมีประสบการณ์เห็นผู้ที่อยู่ในภาวะใกล้เสียชีวิต หรือเสียชีวิต ผู้ป่วยทหารผ่านศึกทุกคนยังขาดความรู้ แต่ทุกคนก็ตัดสินใจใช้สิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตโดยบริการสาธารณสุขที่ผู้ป่วยทหารผ่านศึกต้องการที่จะปฏิเสธมากที่สุดคือการช่วยฟื้นคืนชีพ และการใส่ท่อช่วยหายใจตามลำดับ
จากผลการศึกษามีข้อเสนอแนะคือ ควรมีการส่งเสริมให้ผู้ป่วยทหารผ่านศึกมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตด้านเอกสารสำหรับผู้ป่วยทหารผ่านศึกที่จะประสงค์จะใช้สิทธิในการแสดงเจตนาดังกล่าว
เอกสารอ้างอิง
กูล โพธิ์ทอง. (2556). ผลการพัฒนาจิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายตามแนววิถีพุทธ: กรณศึกษาการดูแลแบบประคับประคอง โรงพยาบาลท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี.วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศสนา), บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
เกษร เกตุชู. (2557). การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการปฏิบัติการดูแลแบบประคับประคองสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตในหอผู้ป่วยวิกฤต. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ดุสิต สถาพร. (2550). ใน: ประเสริฐ เลิศสงวนสินชัย และคณะ (บรรณาธิการ). การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ (1987).
นพวรรณ ผ่องใส. (2553). ผลการดูแลตามระยะเปลี่ยนผ่านต่อความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วันวิสาข์ เส็งประเสริฐ. (2546). สิทธิที่จะเลือกและกำหนดของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (สาธารณสุขศาตร์) สาขาวิชาเอกบริหารกฎหมายการแพทย์และสาธารณสุข, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล.
วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์. (2555). ก่อนวันผลัดใบหนังสือแสดงเจตนาการจากไปในวาระสุดท้าย. (พิมพ์ครั้งที่5). กรุงเทพมหานคร: ทีคิวพี จำกัด.
สุชีรา เกตคง. (2553). ประสบการณ์เผชิญอาการ การดูแลแบบประคับประคอง และความผาสุขทางจิตวิญญาณของผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล.
สุภัสสรา ชูช่อ เพลินพิศ ฐานิวัฒนานนท์ และ จารุวรรณ มานะสุรการ. (2554). ประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยวิกฤติมุสลิทระยะสุดท้าย. เอกสารรายงานการประชุมวิชาการบัณฑิตศึกษา สถาบันการศึกษา สาธารณสุขศาสตร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1, มหาวิทยาลัยมหิดล,กรุงเทพฯ.
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช). (2554). พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550. (พิมพ์ครั้งที่ 2). นนทบุรี: บ. วิกิ จำกัด.
Critical Care “Life-Sustaining Treatment Decision in Portuguese Intensive Care Units: ANational Survey of Intensive Care Physicians.” 2003. [Online]. Available: http://www. medscape.com/viewartical/464501. (4 January 2009).
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
Disclaimer and Copyright Notice
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารกฎหมายและนโยบายสาธารณสุข ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงเสมอ