การพัฒนาโมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์ รายวิชาการจัดการงานคุณภาพ เพื่อสนับสนุนระบบการสะสมหน่วยการเรียนรู้ระดับอุดมศึกษา
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของโมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์รายวิชาการจัดการงานคุณภาพ เพื่อสนับสนุนระบบการสะสมหน่วยการเรียนรู้ระดับอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่างของการศึกษา คือ นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตและสถาปัตยกรรมบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ที่เลือกลงทะเบียนรายวิชา การจัดการงานคุณภาพ ภาคปีการศึกษา 2567 กลุ่มที่ 2 จำนวน 16 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์รายวิชาการจัดการงานคุณภาพ 2) แบบประเมินความเหมาะสมของโมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 มีความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.40 - 0.80 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.25 - 0.50 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) แบบกลุ่มที่ไม่อิสระจากกัน
ผลการศึกษา พบว่า 1) ผลการประเมินคุณภาพความเหมาะสมของโมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์รายวิชา การจัดการงานคุณภาพ ผ่านผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดยรวมมีความเหมาะสมและประสิทธิภาพของโมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์รายวิชา การจัดการงานคุณภาพ เท่ากับ 80.87/80.63 มีสอดคล้องกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยโมดูลการเรียนรู้แบบออนไลน์รายวิชา การจัดการงานคุณภาพ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Abdelmohsen, M. M. (2020). The development and validation of a module on enhancing students' critical thinking, collaboration and writing skills. SAR Journal-Science and Research, 3(4), 166-177. https://doi.org/10.18421/SAR34-04
Berk, R. A. (1980). A consumers’ guide to criterion- referenced test reliability. Journal of Educational Measurement, 17(4), 323-349. https://www.jstor.org/stable/1434873
Dornbundit, P. (2008). Development of learning module for university analytical chemistry corporation thinking exploration cycle [Doctoral dissertation, Srinakharinwirot University]. http://thesis.swu.ac.th/swudis/Sci_Ed/Piyarat_D.pdf (in Thai)
Erita, S. (2022). Development of an e-modules for learning mathematics based on a scientific approach to help the online learning process. International Journal of Trends in Mathematics Education Research, 5(4), 411-416. https://doi.org/10.33122/ijtmer.v5i4.170
Office of the National Education. (2022). Study of the credit transfer and credit bank system: basic education level. Prinkwarn Graphic. https://www.mhesi.go.th/index.php/all-media/infographic/7374-650520general.html (in Thai)
Phromwong, C. (2013). Efficiency testing of teaching media or kits. Journal of Silpakorn University Research, 5(1), 7-20. https://so05.tci-thaijo.org/index.php/suedureasearchjournal/article/view/28419/24439 (in Thai)
Sedio, M. Z. (2024). E-tutors’ experiences with integrating technologies in online course modules: A case of open distance e-learning. Edelweiss Applied Science and Technology, 8(6), 728-737. https://doi.org/10.55214/25768484.v8i6.2144
Songsaen, S. (2023). The development of the credit bank system mechanism model for the Management of lifelong learning education at Chiang Rai Rajabhat University. Journal of Education Studies, Chulalongkorn University, 51(3), EDUCU5103007. https://doi.org/10.14456/educu.2023.25
Syam, A. T. (2020). Developing a writing module for the fourth-semester learners of the English department at the State Islamic Institute of Palopo. Indonesian Journal of English Language Teaching and Applied Linguistics, 5(1), 17-28. https://doi.org/10.21093/ijeltal.v5i1.548
Wattananarong, K. (2006). Vocational education technology. Sinthavee. (in Thai)
Zahra, R. M., Sumiyadi, S., Isah Cahyani, I., Sastromiharjo, A., & Nuphanudin, N. (2023). Developing e-learning module to aid in student learning. JIMP: Jurnal Inovasi dan Manajemen Pendidikan, 3(2), 76-87. https://doi.org/10.12928/jimp.v3i2.9367
