การพัฒนาโปรแกรมแนะแนวแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น Development of Participatory Guidance Programs for Enhancing Digital Intelligence for Lower Secondary School Students
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและความต้องการจำเป็นสำหรับการพัฒนาโปรแกรมแนะแนวแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนาโปรแกรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล 3) ทดลองใช้โปรแกรมแนะแนวและ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดโปรแกรมแนะแนวการศึกษาแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 การศึกษาความต้องการจำเป็นสำหรับการพัฒนาโปรแกรมแนะแนว ตัวอย่างที่ใช้เป็นผู้บริหาร ครูแนะแนว และผู้ปกครองนักเรียน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามสภาพและความต้องการจำเป็นสำหรับการพัฒนาโปรแกรมแนะแนวการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดลำดับด้วยวิธี Priority Needs Index ผลการศึกษาระยะที่ 1 นำมาใช้ในการศึกษาระยะที่ 2 การพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมแนะแนวตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน 90 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 การสุ่มตัวอย่างนักเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 10 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ โปรแกรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล แบบวัดความฉลาดทางดิจิทัล แบบวัดพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบไคกำลังสอง (Chi-square) และการทดสอบความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ (One-way Repeated Measure MANOVA)
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นสำหรับการพัฒนาโปรแกรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลด้านความมั่นคงทางดิจิทัลมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสูงที่สุดรองลงมา คือด้านการใช้เครื่องมือและสื่อดิจิทัล ด้านความฉลาดทางอารมณ์บนโลกดิจิทัล และด้านสิทธิทางดิจิทัล 2) โปรแกรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลที่ได้สร้างและพัฒนามีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาจากการประเมินโปรแกรมแนะแนวโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก 3) นักเรียนที่เข้าร่วมโปรแกรมแนะแนวมีคะแนนเฉลี่ยความฉลาดทางดิจิทัล ก่อนการเข้าร่วม โปรแกรมแนะแนว (Pretest) และคะแนนหลังการเข้าร่วมโปรแกรมแนะแนว (Posttest) มีความแตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และระดับการติดสื่อสังคมออนไลน์มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดโปรแกรมแนะแนวทุกด้านอยู่ในระดับมาก
Article Details
เอกสารอ้างอิง
เกียรติภูมิ วงศ์รจิต. (2562). โรคติดเกมเป็นโรคจิตเวช ส่งผลเด็กเป็นโรคสมาธิสั้น วิตกกังวล ซึมเศร้า และก้าวร้าว. สืบค้นจาก https://workpointtoday.com/g-3/
คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ. (2560). แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560-2564. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: เจ.เอส.การพิมพ์.
ชาญวิทย์ พรนภดล, และคณะ. (2556). การพัฒนาแบบทดสอบการติดเกมสำหรับเด็กและวัยรุ่น. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย, 59(1), 3-14.
ฐิยาพร กันตาธนวัฒน์. (2546). การศึกษาจิตลักษณะบางประการที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันการเสี่ยงทางเพศและทางการใช้ยาเสพติดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนสังกัดสำนักงาน การประถมศึกษาจังหวัดสระบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง, กรุงเทพฯ.
ธนชาติ นุ่มนนท์. (2564, 28 พฤษภาคม). จัดอันดับ “รับมือ Fake News” เยาวชนไทยติดรองสุดท้าย. กรุงเทพธุรกิจ, น.17.
ธีรวัฒน์ รูปเหลี่ยม. (2560). การพัฒนาโปรแกรมเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลของนักเรียนระดับประถมศึกษา. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและประเมินผลการศึกษา, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาสารคาม.
ธีรวุฒิ เอกกะกุล. (2543). ระเบียบวิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร และสังคมศาสตร. อุบลราชธานี: สถาบันราชภัฎอุบลราชธานี.
บุปผา เมฆศรีทองคำ, และอรยา สิงห์สงบ. (2552). สภาพการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตของเด็กและเยาวชนไทยตามช่วงพัฒนาการแห่งวัย. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
บุหงา ชัยสุวรรณ, และพรพรรณ ประจักษ์เนตร. (2558). พฤติกรรมการใช้สื่อใหม่ของวัยรุ่นอายุระหว่าง 10-19 ปี. วารสารการสื่อสารและการจัดการ. 1(1), 31-57.
ประสิทธิ์ สนั่นรัมย์. (2564). พลังครูไทยวิธีใหม่ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล.สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.ksp.or.th.
ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์. (2545). การสร้างมาตรประเมินและปกติวิสัยของความฉลาดทางอารมณ์สำหรับวัยรุ่นไทย. กรุงเทพฯ: ภาควิชาการแนะแนวและจิตวิทยาการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
พนม คลี่ฉายา. (2563, 12 กุมภาพันธ์). ลม เปลี่ยนทิศ หมายเหตุประเทศไทย. “คนไทยเสี่ยงทุกกลุ่มอายุจากความรุนแรงบนโลก. ไทยรัฐ, น. 5.
พิศุทธิภา เมธีกุล. (2561). โปรแกรมพัฒนาการรู้เท่าทันดิจิทัลและพฤติกรรมการใช้ดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนของนักศึกษาวิชาชีพครูในศตวรรษที่ 21. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ.
พีระ จิระโสภณ, และคณะ. (2559). ความรู้เท่าทันการสื่อสารยุคดิจิทัลกับบทบาทในการกำหนดแนวทาง การปฏิรูปการสื่อสารในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต.
วรลักษณ์ สงวนแก้ว. (2558). Digital Citizens: พลเมืองดิจิทัล. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2564, https://www.stou.ac.th/study/sumrit/1-59(500) /page2-1-59 (500).html.
วิไลภรณ์ จิรวัฒนเศรษฐ์. (2559). เด็กยุคดิจิทัลภายใต้สังคมแห่งสื่อออนไลน์และการเรียนรู้ทางสังคม. วารสารอนาคตวิทยาทางการศึกษา (Journal of Education Futurology: JEF), 1(1), 1-11.
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. (2553). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้เรียนและคุณภาพเยาวชน. (2559). 8 ทักษะ “ความฉลาดทางดิจิตอล” ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กเยาวชนในศตวรรษที่ 21. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2564, จาก www.qlf.or.th
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ. (2563). แผนพัฒนาการแนะแนวและแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ. 2561-2565) ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580). สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2564, จาก www.guidestudent.obec.go.th
Brooke Donald. (2019). High School Students are Unprepared to Judge the Credibility of Information on the Internet, According to Stanford Researchers. Stanford News, (650) 721-1402. Retrieved from https://news. Stanford edu.
Twigg, R. J. (2020). The need for digital intelligence in the time of social distancing. KM World. 29(4), 25-26.
Dostál, J., Xiaojun Wang, Steingartner, W., & Nuangchalerm, P. (2017). Digital Interlligence - new concept in context of future of school education. Proceedings of ICERI2017 Conference. 16th-18th November 2017, Seville, Spain3706-3712.