การพัฒนารูปแบบที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการติดตามเด็กหาย
DOI:
https://doi.org/10.53848/irdssru.v10i1.133221คำสำคัญ:
กลไกของกฎหมาย, เครือข่ายการติดตาม, การติดตามเด็กหายบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบกลไกของกฎหมาย การมีส่วนร่วม การบริหารจัดการ เครือข่ายการติดตาม ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการติดตามเด็กหาย ใช้วิธีวิจัยการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามเด็กหาย กำหนดไว้ 15 หน่วยงาน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐที่เป็นตำรวจ 11 หน่วยงาน หน่วยงานภาครัฐที่ไม่ใช่ตำรวจ 3 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคเอกชน 1 หน่วยงาน มีรูปแบบการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แนวความคิดเห็น ซึ่งใช้การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ ผู้ศึกษาสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้เหตุผลและหลักเกณฑ์ในการเลือกจากหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องในการติดตามเด็กหายจากผู้บริหารซึ่งได้ข้อมูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่มีความคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า การคุ้มครองสวัสดิภาพ เด็กหายต้องอาศัยกลไกของกฎหมาย การมีส่วนร่วมต้องอาศัยการให้ข้อมูลและการตัดสินใจ การบริหารจัดการต้องอาศัยบุคลากรและฐานข้อมูล เครือข่ายการติดตามต้องอาศัย ภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ และประสิทธิภาพในการติดตาม เด็กหายต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและการวางแผนงาน
ข้อค้นพบจากการวิจัย พบว่า การค้ามนุษย์ และนิติวิทยาศาสตร์ เป็นกลไกของกฎหมายที่สำคัญจะทำให้เกิดการช่วยเหลือติดตามเด็กหาย การตัดสินใจและการให้ข้อมูล คือกระบวนที่สำคัญการมีส่วนร่วมของบุคคล ในชุมชนและผู้เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการด้านบุคลากรควรมีการพัฒนาองค์ความรู้ แต่ละหน่วยต้องสร้างบุคลากรขึ้นมาทำงานโดยเฉพาะ มีศูนย์กลางการจัดการบริหารข้อมูล หรือศูนย์ติดตามคนหายแห่งชาติเกิด สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายถึงกันทั่วประเทศ มีหน่วยงานภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการสนับสนุนประชาสัมพันธ์ข่าวสาร และประสิทธิภาพการในการติดตามเด็กหาย เจ้าหน้าที่ต้องมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญงาน มีประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริงและวางแผนดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน มีแผนงาน แผนที่ดีควรมีความสอดคล้องครอบคลุมกับเครือข่ายและมีความเข้าใจร่วมกัน
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว