แนวทางการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทย ของนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์โรงเรียนบ้านจะตี
คำสำคัญ:
-บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาสภาพเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทย ของนักเรียนโรงเรียนบ้านจะตี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 (2) เพื่อศึกษาปัญหาการดำเนินงานเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทยของนักเรียนโรงเรียนบ้านจะตี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 (3) เพื่อเสนอแนวทางการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทยของนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์โรงเรียนบ้านจะตี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาและเครือข่ายความร่วมมือในการสร้างเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนโรงเรียนบ้านจะตี ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทยของนักเรียนโรงเรียนบ้านจะตี 1.1 รูปแบบเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทยของนักเรียนโรงเรียนบ้านจะตี ได้แก่ เครือข่ายเชิงพื้นที่ เครือข่ายเชิงประเด็นกิจกรรม และเครือข่ายแบ่งตามโครงสร้าง ได้แก่ 1) เครือข่ายภาครัฐ 2) ภาคธุรกิจเอกชน และ 3) เครือข่ายแบ่งตามโครงสร้างหน้าที่ ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายภาครัฐเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน เครือข่ายภาคเอกชน และเครือข่ายภาคประชาชน 1.2 ลักษณะการมีส่วนร่วม ของเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาทักษะภาษาไทยของนักเรียนโรงเรียนบ้านจะตี คือ การส่วนร่วมในการตัดสินใจ การส่วนร่วมในขั้นปฏิบัติการ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมในการประเมินผลการดำเนินงาน 2. ผลศึกษาปัญหาการดำเนินงานเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียน โรงเรียนบ้านจะตี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 มี 4 ด้าน คือ 1) ปัญหาการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 2) ปัญหาการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ 3) ปัญหาการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และ 4) ปัญหาการมีส่วนร่วมในการประเมินผล 3. แนวทางการบริหารจัดการเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์โรงเรียนบ้านจะตี มีดังนี้ 3.1 เครือข่ายเชิงพื้นที่ ควรให้เครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในด้านการตัดสินใจด้านการปฏิบัติการ ด้านการรับผลประโยชน์ ดังนี้ ใช้กระบวนการ PLC (Professional Learning Community) เพื่อการเข้าถึงและเพิ่มการกระจายอำนาจเครือข่ายความร่วมมือ ในการบวนการและลดขั้นตอนการกำกับติดตาม ประเมินเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะแก่เครือข่ายความร่วมมือทุกภาคส่วนให้เกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เข้าถึงปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน 3.2 เครือข่ายเชิงประเด็นกิจกรรม ควรให้เครือข่ายความร่วมมือมีการบันทึกข้อตกลงเพื่อกำหนดกรอบระยะเวลาในแนวทางการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของเครือข่ายภาคเอกชน เพื่อลดข้อจำกัดด้านระยะเวลา และการดำเนินโครงการที่ไม่ต่อเนื่อง เพื่อจัดการกับปัญหาเรื่องความต่อเนื่องด้านการวางแผน แนวนโยบายและ ระบบการจัดการองค์กรของเครือข่ายควรเปิดโอกาสให้เครือข่ายความร่วมมือภาคประชาชน มีส่วนร่วมในด้านการตัดสินใจ ด้านการปฏิบัติการ ด้านการรับผลประโยชน์ โดยใช้กระบวนการ ร่วมทำประชาคมหมู่บ้านและโรงเรียนเพื่อหาแนวทางการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เข้าถึงปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน 3.3 เครือข่ายตามโครงสร้างหน้าที่ ควรเปิดโอกาสให้เครือข่ายความร่วมมือภาคประชาชน มีส่วนร่วมในด้านการ ตัดสินใจ ด้านการปฏิบัติการ ด้านการรับผลประโยชน์ โดยใช้กระบวนการ ร่วมทำประชาคมหมู่บ้านและโรงเรียนเพื่อหาแนวทางการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เข้าถึงปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
เอกสารอ้างอิง
ธนจรรย์ สุระมณี. (2552). ชนเผ่าเล่าขาน. เชียงใหม่: บุณยศิริงานพิมพ์.
พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ. (2550). บทบาทศึกษาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารศึกษาศาสตร์, 18(2), ไม่ปรากฏเลขหน้า.
สุวดี อุปปินใจ. (2553). การพัฒนากลยุทธ์การบริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในพื้นที่สูงภาคเหนือ. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Andrew & Stifle. (1980). The Concept of Corporate Strategy. Revised Edition, Illinois: Richard D. Irwin, Inc.
Boissevain, J., & Mitchell, C, J. (1973). Network analysis: Studies in human interaction. Netherlands: Mouton and Company.
Starkey, P. (1997). Networking for Development. London: International Forum for Rural Transport and Development.