สมรรถนะหลักผู้พิพากษาไทย

Main Article Content

ธีรัจฉรา บวรนันทกุล
วนิพพล มหาอาชา

บทคัดย่อ

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเมินระดับสมรรถนะหลักผู้พิพากษาไทย ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับสมรรถนะหลักผู้พิพากษาไทย โดยใช้แนวทางที่สำนักงาน กพร.กำหนด กลุ่มตัวอย่างผู้พิพากษาทุกระดับชั้นศาล(ชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ ชั้นฎีกา) จำนวนทั้งสิ้น 388 คน ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ค่าทางสถิติประมวลผลโดยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ใช้ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติอ้างอิง(Inferential statistics) ใช้ทดสอบสมมติฐาน และการหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม โดยใช้สถิติ ANOVA และ Correlation มาวิเคราะห์ข้อมูลตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) ด้านข้อมูลส่วนบุคคล ประชากรกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ระดับการศึกษาปริญญาโท สังกัดศาลอุทธรณ์ ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้พิพากษา 21 ปีขึ้นไป สมรสแล้วและมีบุตรแล้ว รายได้ปัจจุบัน / ต่อเดือน (รวมทั้งครอบครัว) ระหว่าง 1 – 2 แสนบาท มีจำนวนบุคคลที่ต้องดูแล / อุปการะ 2 คน สำหรับด้านเหตุผลในการมาประกอบอาชีพผู้พิพากษา คือรักและศรัทธาเฉพาะตัว และมีการสื่อสารระหว่างบุคลากรในหน่วยงานแบบเป็นการสื่อสารในเชิงประสานงาน 2) ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับสมรรถนะหลักของผู้พิพากษาไทย พบว่า สมรรถนะหลักของผู้พิพากษาไทย ดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยพบว่า ด้านการยึดมั่นความถูกต้องชอบธรรม (Integrity) มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ ด้านการทํางานเป็นทีม (Teamwork) ด้านการบริการที่ดี (service Mind) ด้านการสั่งสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ (Expertise) และ ด้านมุมมองที่มีต่อผู้อื่นในหน่วยงาน อยู่ในระดับมาก ตามลำดับการ 3) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับสมรรถนะหลักของผู้พิพากษาปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ อายุปัจจุบัน ชั้นศาลที่สังกัดปัจจุบัน ความยาวนานในการปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้พิพากษา และ รายได้ปัจจุบัน / ต่อเดือน ปัจจัยดำเนินการได้แก่ การสื่อสารในองค์กร
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ควรมีการจัดแข่งขันนวัตกรรมต่างๆในการทำงาน ช่วยประสานการให้บริการประชาชน จัดกิจกรรมส่งเสริมการบริจาค การทำงานร่วมกันเป็นทีมและประเมินทบทวนผลการปฏิบัติงานหน่วยงานต่อเนื่องที่ชัดเจน ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยต่อไป ควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพ ศึกษาและสร้างตัวชี้วัด (Competency indicators) เกี่ยวกับสมรรถนะผู้พิพากษาและ ศึกษาสมรรถนะด้านอื่นในศาลอื่นๆ ได้แก่ สมรรถนะประจำกลุ่มงานหรือสมรรถนะเฉพาะสำหรับศาลชำนัญพิเศษต่อไป

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

เกริกเกียรติ์ ศรีเสริมโภค. (2546). การพัฒนาความสามารถเชิงสมรรถนะ. กรุงเทพฯ : โกลบัล คอนเชิรน.

ขวัญดาว แจ่มแจ้ง เรขา อรัญวงศ์ และปาจรีย์ ผลประเสริฐ. (2556). กลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง, วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร, 15(2), หน้า 86-76.

ดาระกา ศิริสันติสัมฤทธิ์. (2552). การศึกษารูปแบบสมรรถนะ บุคลากรสายงานสนับสนุนวิชาการ ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐ, รายงานวิจัย, (คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง, 2552), หน้า ก-ค.

ปาริฉัตร อุทัยพันธ์, บุญศรี พรหมมาพันธุ์ ศริศักดิ์ สุนทรไชย และ คมศร วงษ์รักษา. (2552). การพัฒนารูปแบบการประเมินสมรรถนะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาเทคนิคเภสัชกรรม วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก, วารสารวิจัย มข, (มหาวิทยาลัยขอนแก่น,), หน้า 883 – 889

พิสมัย พวงคำ. (2551).สมรรถนะของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต

พิชญาภา ยืนยาว. (2552). รูปแบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในสถาบันอุดมศึกษา, วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร)

ทิพอนงค์ กุลเกต. (2560 ). การพัฒนาสรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, 9(1)

ไพรวัลย์ รัตนมา. (2560). แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของข้าราชการศาลยุติธรรม จังหวัดสุราษฎร์ธาน วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

ราชบัณฑิตยสถาน. (2558). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร.

วิจารย์ พานิช. (2559). วิธีการพัฒนาสมรรถนะที่ดีกว่าการฝึกอบรม. เว็บไซต์ https://www.gotoknow.org/posts/498065. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2559.

ศันสนีย์ นิจพานิช และโชคชัย มงคลสินธุ์. (2551). การพัฒนารูปแบบการประเมินขีดสมรรถนะหลักบุคลากรสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์, เวชสารโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา, 32(1), หน้า 174.

สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. (2548). แนวทางการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ด้วย Competency กรุงเทพฯ : ศิริวัฒนาอินเตอรืพริ้นติ้ง

สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ. (2547). Competency : เครื่องมือการบริหารที่ปฏิเสธไม่ได้. Productivity. 9(53) : 20-25

สำนักงานคณะกรรมข้าราชการพลเรือน (2558). บุคลากรภาครัฐในระบบการบริหาร.ก.พ.

สืบวงศ์ กาฬวงศ์. (2554). ตัวแบบสมรรถนะผู้นาเชิงยุทธศาสตร์ของนายกองค์การบริหารส่วนตำบล, วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต, คณะรัฐประศาสนศาสตร์: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

สมพงษ์ จิตระดับและคณะ. (2556). การพัฒนาสมรรถนะระบบที่ปรึกษาให้สภาเด็กและเยาวชนในประเทศไทย. รายงานการวิจัย, (สำนักงานสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผูด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, 2556), หน้า ก.

อภิษฎาข์ ศรีเครือดง. (2556). รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำที่พึงประสงค์ตามแนวพุทธของผู้บริหารสตรีในมหาวิทยาลัยของรัฐ, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย

อเนก เทียนบูชา. (2552). การพัฒนาสมรรถนะหลักเพื่อเตรียมคนเข้าสู่งาน. ดุษฎีนิพนธ์ (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

เอกอนงค์ คงประสม. (2560). สมรรถนะหลักของบุคลากรสายสนับสนุนเพื่อส่งเสริมยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากรสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้. KKU Res J (GS), 11(2)

The Teaching Competency and Indicators for Learner Profession. (2557). วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 8(3)

Bonjour, E., & Micaelli, J. P. (2010). Design core competence diagnosis: a case from the automotive industry. Engineering Management, IEEE Transactions, 57(2), 323-337.

Hellriegel, Don., Jackson Susan E., Slocum, John W.(2001) Management: A Competency-Based Approach, 9th ed. United State of America:Thompson, South-Western EducationalPublishing.

Hughes, R. (2004). A competency framework for public health nutrition workforce development. Australian Public Health Nutrition Academic Collaboration. Retrieved August 12, 2008, from http://www. aphnac.com/media/files/252.pdf

Prahalad, C.K. and Hamel, G. (1990). The core competence of the corporation Archived 2014-07-14 at the Wayback Machine, Harvard Business Review, 68(3); pp. 79–91.

Schilling, M. A. (2013). Strategic management of technological innovation, International Edition, McGraw-Hill Education.

Yang, C. (2015). The integrated model of core competence and core capability. Total Quality Management. 26: 173–189.