เหตุฉกรรจ์ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเนื่องจากความเกลียดชังทางศาสนา
Main Article Content
บทคัดย่อ
เป็นที่ยอมรับกันโดยสากลว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพทางความเชื่อและศาสนา ดังนั้น การปฏิเสธความเชื่อตลอดจนเสรีภาพในการนับถือศาสนาของปัจเจกชนนั้นย่อมไม่อาจมีขึ้นได้ ซึ่งจะเห็นได้จากแนวคิดของสังคมโลกผ่านทางกติกาสากลทั้งหลายที่ไม่ยอมให้สิทธิเสรีภาพในความเชื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งถูกตัดทอนหรือรุกล้ำได้ สังคมไทยได้ชื่อว่าเป็นสังคมหนึ่งที่เปิดกว้างและเปิดรับทุกศาสนาจนกล่าวได้ว่าเป็นสังคมพหุศาสนา แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังคงนับถือพระพุทธศาสนา แต่คนที่นับถือศาสนาอื่นก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน หากจะกล่าวถึงความสำคัญในเบื้องต้นของบุคคลในฐานะตัวแทนทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช หรือผู้นำศาสนา ย่อมอธิบายได้ว่า บุคคลเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการทำนุบำรุงและธำรงรักษาไว้ซึ่งศาสนาของตนและมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความสงบสุขในสังคม ด้วยเหตุดังกล่าวงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของสังคมไทยที่ได้ให้ความสำคัญกับภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช หรือผู้นำศาสนา และศึกษาถึงแนวคิดสากลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยเฉพาะเรื่องอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุฉกรรจ์ในความผิดฐานฆ่าภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช หรือผู้นำทางศาสนา เนื่องจากความเกลียดชังทางศาสนา มีความจำเป็นและเหมาะสมอย่างยิ่งในกฎหมายไทยปัจจุบัน โดยผู้วิจัยได้ศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ (Documentary Research) เช่น จากบทบัญญัติกฎหมายอาญาของต่างประเทศ พบบทบัญญัติคุ้มครองศาสนาในหลายกรณี มีทั้งการบัญญัติเป็นฐานความผิดการบัญญัติในลักษณะเพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น ตลอดจนบทบัญญัติที่ให้อำนาจแก่ศาลใช้ดุลพินิจเพื่อลงโทษหนักขึ้น หรือจากบทกฎหมายไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาทิ กฎหมายตราสามดวงหรือประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ 2505 ทั้งนี้ เมื่อได้วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร เห็นควรเสนอให้มีการเพิ่มเติมเหตุฉกรรจ์ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กรณีฆ่าภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช หรือผู้นำศาสนา เนื่องจากความเกลียดชังทางศาสนา เป็นมาตรา 289(8) ในประมวลกฎหมายอาญา
Article Details
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
เอกสารอ้างอิง
Administration of Islamic Organizations Act B.E. 2540.
Barkan, S. E., & Bryjak, G. J. (2004). Fundamentals of Criminal Justice. Boston: Pearson Education, Inc.
Buaklang, S. (2016). State Neutrality and Freedom of Religion and Belief. Master of Laws. Thammasat University.
Charoenthanavat, K. (2019). Basic principles of public law. Bangkok: Winyuchon.
Constitution of the Kingdom of Thailand B.E. 2560
Fine Arts Department. (1993). The Story of the French Bishops in the Kingdom of Siam, Translated by Piengruthai Tuntithirawit. Bangkok: Fine Arts Department.
Herek, G. M. (1994). Heterosexism, Hate Crimes, and the Law. Violence and the Law, 89-112.
Khamdi, D. (2002). Theology. Bangkok: Kasetsart University Press.
Likasitwatanakul, S. (2014). The principle of Proportionality of Punishment, Raphi 2557. Published by Faculty of Law Thammasat University.15-17.
Mill, J. S. (1910). Utilitarianism Liberty and Representative Government. London & Toronto: J. Dent & sons LTD. And New York E.P. Dutton & Co.
Na Nakorn, K. (2017). General Criminal Law. Bangkok: Winyuchon Publication House.
OSCE Office for Democratic Institutions and Human Rights (ODIHR). (2009). Hate Crime Laws: A practical Guide. Warsaw: Polygrafus Andrzej Adamiak.
Saenguthai, Y. (1960). Determining a Penalty of an Offense in the Criminal Code. Dulpaha, 7, 931-935.
Saenguthai, Y. (1962). Criminal Code, Judicial Studies, Supreme Court, Part 1: Printed as a Memorial to the Royal Cremation of Phraya Legvanich Thamavitak at the Royal Cemetery, Wat Debsirindrawas Ratchaworawiharn.
Srisanit, P. (2018). Advanced Criminal Law. Bangkok: Winyuchon Publication House.
The Penal Code of Siam R.S. 127
The Sangha Act B.E. 2505