การเปรียบเทียบผลการเรียนประเด็นปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการเรียนผสมผสานกับรูปแบบการเรียนปกติที่มีผลต่อความ สามารถในการโต้แย้ง และการคิดวิพากษ์วิจารณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่างกัน

Authors

  • จิตธนา พาสิงห์สี นิสิต หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตรศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • จีระพรรณ สุขศรีงาม อาจารย์ ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • มยุรี ภารการ อาจารย์ ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • ไพฑูรย์ สุขศรีงาม อาจารย์ ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

Keywords:

ประเด็นปัญหาทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิทยาศาสตร์, การโต้แย้ง, การคิดวิพากษ์วิจารณ์การเรียน, แบบผสมผสาน, socioscientific issues, argumentation, critical thinking, mixed method learning

Abstract

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการโต้แย้งและการคิดวิพากษ์วิจารณ์หลังเรียน ประเด็นปัญหาทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์และเรียนด้วยรูปแบบการเรียนต่างกัน กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา   ปีที่ 3  จำนวน  63  คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองนักเรียน 32 คน เรียนแบบผสมผสาน และกลุ่มควบคุม นักเรียน  31 คน เรียนแบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย(1)แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นปัญหาทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิทยาศาสตร์ จำนวน 4 แผน คือแผนที่ 1 พืชจีเอ็มโอ แผนที่ 2 การปลูกถ่ายอวัยวะ แผนที่  3 พลังงานทางเลือก (จากมันสำปะหลัง) แผนที่ 4 การทำแท้ง แต่ละแผนใช้เวลาเรียน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์(2)แบบทดสอบวัดการโต้แย้ง จำนวน  4 ฉบับ และ(3)แบบทดสอบวัดการคิดวิพากษ์วิจารณ์จำนวน  5 ด้านคือ ด้านการอนุมาน ด้านการยอมรับข้อตกลงเบื้องต้น  ด้านการนิรนัย ด้านการตีความ และด้านการประเมินข้อโต้แย้ง  จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานคือ Dependent t-test, F-test (Two-way MANCOVA และ Two-way ANCOVA)

ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนโดยส่วนรวมและ จำแนกตามแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์หลังเรียนโดย  ใช้รูปแบบผสมผสาน มีการพัฒนาความสามารถในการโต้แย้งจากการสอบครั้งที่ 1-4 เพิ่มขึ้นตามลำดับ และมีการคิดวิพากษ์วิจารณ์โดยรวมและรายด้านทุกด้าน  เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  2) นักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่างกัน มีความสามารถในการโต้แย้งไม่แตกต่างกัน (P>.025)  แต่นักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง มีการคิดวิพากษ์วิจารณ์โดยรวมและรายด้าน จำนวน 4 ด้าน (ยกเว้นด้านอนุมาน)มากกว่านักเรียนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  3)นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบผสมผสานมีความสามารถในการโต้แย้ง  และมีการคิดวิพากษ์วิจารณ์โดยรวมและด้านการประเมินข้อโต้แย้ง มากกว่านักเรียนที่เรียนรูปแบบการเรียนปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .025 และ 4)ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์และรูปแบบการเรียน ต่อความสามารในการโต้แย้ง และการคิดวิพากษ์วิจารณ์โดยรวม และรายด้านของนักเรียน (P>.05)

 

Abstract

This  research  aimed  to  compare  the  argumentation  and  critical  thinking  abilities  after  learning  the socioscientific  issues  of  the  students  with different     achievement  motives  and  learning  methods.  The sample consisted of  63  Mathayomsuksa 3 (grade 9) students, obtained  using  the cluster random sampling  technique. These  students  were  assigned  to  an experimental  group  with  32  students  who learned  using  the  mixed  method  and  a  control group  with  31  students  who  learned  using  the  conventional learning method.  Instruments  employed for the study included (1)  lesson plans on socioscientific issues : genetically modified plants, organ transplantation, and alternative energy from cassava, 3 plans for the experimental group and the other 3 plans for the control group, 4 pians aborticide  each plan for 3 hours of learning   in a week ; (2) four argumentation tests ; and (3) the critical thinking test with 5 subscales: interpretation,  deduction, inference, recognition of assumptions, and evaluation of arguments , and with 30 items. The dependent  t-test and the F-test (Two-way MANCOVA and ANCOVA) were employed for testing  hypotheses.

The major findings revealed that  the  students  as  a  whole  and as classified  according  to  achievement motives  who  learned  the  socioscientific  issues  using  the  mixed  method  and  the  conventional  learning  method showed  developments  of  argumentation  abilities  from the 1st test to the 4th test ; and showed  gains in critical thinking in  general  and  in each  subscale  from  before  learning at the .05 level of significance. (The  students with different  achievement motives did not indicate  argumentation differently (P>025).  However, the students with high achievement  motives  showed argumentation abilities and critical thinking abilities in general and in 4 subscales: (except for the inferrence) more  than the students with low achievement motives (p>.05). The experimental  group  students  evidenced  more  argumentation  abilities and critical  thinking  abilities in general and in the scale of evaluation of arguments than the counterpart students  (p >.025).  Statistical  interactions of achievement motives  with learning methods on argumentation and critical thinking abilities in general and in each subscale were not  found to be significant. (p>.05)

Downloads

How to Cite

พาสิงห์สี จ., สุขศรีงาม จ., ภารการ ม., & สุขศรีงาม ไ. (2017). การเปรียบเทียบผลการเรียนประเด็นปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการเรียนผสมผสานกับรูปแบบการเรียนปกติที่มีผลต่อความ สามารถในการโต้แย้ง และการคิดวิพากษ์วิจารณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่างกัน. Research and Development Journal, Loei Rajabhat University, 8(26), 47–60. Retrieved from https://so05.tci-thaijo.org/index.php/researchjournal-lru/article/view/100883