ปัญหาและแนวทางการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับบทบาททนายความหรือที่ปรึกษากฎหมาย ในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในคดีอาญา: กรณีศึกษาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย
คำสำคัญ:
ทนายความ, ที่ปรึกษากฎหมาย, เด็ก, เยาวชนบทคัดย่อ
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการกำหนดองค์กรที่จะควบคุมและอำนาจหน้าที่ในการควบคุมทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในคดีอาญา 2) เพื่อศึกษาปัญหาบทบาททนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในขั้นตอนของการตรวจสอบการจับกุม 3) เพื่อศึกษาปัญหาบทบาทของทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในขั้นตอนการจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูทั้งก่อนฟ้องคดีและหลังฟ้องคดี 4) เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับเป็นข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเป็นการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก กลุ่มประชากรที่จะศึกษาคือ 1) ผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย จำนวน 3 คน 2) พนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย จำนวน 1 คน 3) ทนายความที่ผ่านการอบรมและได้จดทะเบียนเป็นที่ปรึกษากฎหมายในจังหวัดเลย จำนวน 3 คน 4) พนักงานสอบสวนในจังหวัดเลย จำนวน 3 คน 5) เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดเลย จำนวน 1 คน 6) ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่เคยถูกดำเนินคดีอาญาในศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย จำนวน 3 คน ผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาเชิงวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่า สภาทนายความเหมาะสมที่จะเป็นองค์กรที่จะควบคุมและอำนาจหน้าที่ในการควบคุมทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในคดีอาญา และเห็นสมควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ให้เพิ่มเติมคำนิยามในมาตรา 4 คำว่า “ทนายความ” หมายความว่า “ผู้ที่สภาทนายความได้รับจดทะเบียนและออกใบอนุญาตให้เป็นทนายความและให้รวมถึงที่ปรึกษากฎหมายในศาลเยาวชนและครอบครัวด้วย” ซึ่งจะทำให้สภาทนายความมีอำนาจในการดูแลควบคุมที่ปรึกษากฎหมายในศาลเยาวชนและครอบครัวได้ ปัญหาบทบาททนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในขั้นตอนของการตรวจสอบการจับกุม เห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 73 ให้บัญญัติเพิ่มเติมข้อความต่อไปนี้ “ให้เด็กและเยาวชนพบและปรึกษากฎหมายกับที่ปรึกษากฎหมายโดยไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วย” จะทำให้การคุ้มครองเด็กและเยาวชนในกรณีการตรวจสอบการจับกุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเด็กหรือเยาวชนจะได้กล้าพูดความจริงว่าการจับของเจ้าพนักงานเป็นการจับโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ บทบาทของทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในขั้นตอนการจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูทั้งก่อนฟ้องคดีและหลังฟ้องคดี เห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 86 มาตรา 87 มาตรา 90 และมาตรา 91 ให้เพิ่มที่ปรึกษากฎหมายเข้าไปในการจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูทั้งก่อนฟ้องคดีและหลังฟ้องคดี เพื่อที่ปรึกษากฎหมายจะได้เข้าไปทำหน้าที่ในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในคดีอาญา โดยเฉพาะการให้ความรู้ด้านกฎหมายที่จำเป็นและที่ควรรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่เด็กและเยาวชน
เอกสารอ้างอิง
ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการอบรมระเบียบปฏิบัติของที่ปรึกษากฎหมาย การจดแจ้งและลบชื่อออกจากบัญชี พ.ศ. 2556. สืบค้นจาก https://dl.parliament.go.th/backoffice/viewer2300/web/viewer.php
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529. สืบค้นจาก http://web.krisdika.go.th/lawContent.jsp?LType=21&fromPage=lawContent&vID=71&formatFile=htm
ดิษพล การวัฒน์เจริญ และ อนันต์ ช่วยนึก. (2557). ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของทนายความในการคุ้มครองเด็กและเยาวชน. วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 10(1), 261.
พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528. สืบค้นจาก https://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=326998&ext=pdf
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553. สืบค้นจาก https://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=764847&ext=pdf
รุจินันท์ วาธีวัฒนารัตน์. (2563). ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน. วารสารวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ, 6(2), 331-332.
อรนุช อ่อยอารีย์ และ ภูมิ โชคเหมาะ. (2559). ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับที่ปรึกษากฎหมายในคดีเยาวชนและครอบครัว (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, กรุงเทพฯ.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ข้อความที่ปรากฎในวารสารฉบับนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนแต่ละท่าน สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย และกองบรรณาธิการ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยและไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ขอให้ผู้อ่านอ้างอิงในกรณีที่ท่านคัดลอกเนื้อหาบทความในวารสารฉบับนี้