กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสอง ในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลย

บทคัดย่อ

การศึกษาเรื่องกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research methodology) โดยได้กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อรถยนต์มือสองและกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของ ผู้ซื้อจังหวัดเลยและเพื่อศึกษาความแตกต่างกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ ผู้ที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลย เนื่องจากไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน จึงใช้ตารางคำนวณแบบไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ซึ่งคำนวณได้ตัวอย่างเท่ากับ 400 ราย โดยการกำหนดขนาดโดยใช้สูตร Yamane ใช้วิธีการเลือกสุ่มตัวอย่างการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage sampling method) ซึ่งประกอบด้วยวิเคราะห์ด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สถิติเชิงอนุมานทดสอบ สถิติ t-test และ F-test (One-way ANOVA) ตามวิธีของ LSD

ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อรถยนต์มือสองของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างรถยนต์เก๋ง จำนวน 179 คน คิดเป็นร้อยละ 44.75 ผ่อนชำระกับสถาบันการเงินจำนวน 236 คน คิดเป็นร้อยละ 59.00 อายุของรถยนต์มือสอง ที่ต้องการซื้อไม่เกิน 1 ปี จำนวน 184 คน คิดเป็นร้อยละ 46.00 และลำดับการซื้อรถยนต์เป็นคันแรก จำนวน 180 คน คิดเป็นร้อยละ 45.00  2) กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลย พบว่า กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการให้ทดลองสินค้า รองลงมา คือ ด้านการประเมินทางเลือก ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการค้นหาข้อมูล ตามลำดับ และ 3) ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีเพศ อายุ สถานภาพ อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองในยุควิถีใหม่ของผู้ซื้อจังหวัดเลยแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการจำแนกตามระดับการศึกษา และสถานภาพ พบว่า ไม่แตกต่างกัน