บทเรียนบนเว็บโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติ ของซิมพ์ซันเพื่อส่งเสริมทักษะปฏิบัติและความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อพัฒนาบทเรียนบนเว็บโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันเพื่อส่งเสริมทักษะปฏิบัติและความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (2) เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนบนเว็บ ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพของเมกุยแกนส์ (3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติ และความคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนบนเว็บที่พัฒนาขึ้น (4) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนบนเว็บที่พัฒนาขึ้น (5) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความคิดสร้างสรรค์และทักษะปฏิบัติของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนบนเว็บที่พัฒนาขึ้น และ (6) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนบนเว็บที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนยิ่งยวดพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี จำนวน 33 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนบนเว็บเพื่อส่งเสริมทักษะปฏิบัติและความคิดสร้างสรรค์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดทักษะปฏิบัติ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ของทอแรนซ์โดยใช้รูปภาพเป็นสื่อแบบ ก และแบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, t-test dependent sample
ผลการวิจัยพบว่า (1) บทเรียนบนเว็บโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันภายในบทเรียนจะประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน และมีรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน แบ่งออกเป็น 7 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การรับรู้ ขั้นที่ 2 ตรียมความพร้อม ขั้นที่ 3 สนองตอบภายใต้การควบคุม ขั้นที่ 4 การลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง ขั้นที่ 5 กระทำอย่างชำนาญ ขั้นที่ 6 การปรับปรุงและประยุกต์ใช้ ขั้นที่ 7 การคิดริเริ่ม ซึ่งบทเรียนบนเว็บได้ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญจนทำให้มีคุณภาพของบทเรียนบนเว็บอยู่ในระดับเหมาะสมมาก (2) บทเรียนบนเว็บมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของเมกุยแกนส์ (3) ความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (4) ความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (5) ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับทักษะปฎิบัติมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ(6)นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนบนเว็บที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก
Article Details
1. บทความที่ลงตีพิมพ์ทุกเรื่องได้รับการตรวจทางวิชาการโดยผู้ประเมินอิสระ ผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) สาขาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 3 ท่าน ในรูปแบบ Double blind review
2. ข้อคิดเห็นใด ๆ ของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม นี้เป็นของผู้เขียน คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
3. กองบรรณาธิการวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ไม่สงวนสิทธิ์การคัดลอกแต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา
References
Suwimon Wongwanich.(2007). Concepts and Principles of Classroom Research. Bangkok : Chulalongkorn University Book Center.
Kriengsak Chareonwongsak. (2010). Creative thinking.10th edition. Bangkok : Success Media.
Aree Phanmanee. (2004). Practice to think : Creatively Think. 3rd edition.Bangkok :Yaimai.
Sukon Sinthapanon and Other.(2012). Develop thinking skills based on educational reform. Bangkok : Techniques Printing.
Future Classroom Institute. (2014). Creative teaching-based curriculum. [Online] http://blog.eduzones.com/training/170121
Weera Thaipanich.(2008). Web-based Instruction.Ramkhamhaeng Research Journal of Humanities and Social Sciences ,11 (2) , July-December.
Simpson. D. (1972). Teaching physical education : A system approach. Boston : Houghton Mufflin Co.
Monchai Thienthong.(2011). Design and development of computer lessons. 3rd edition. Bangkok : King Mongkut’s Institute of Technology North Bangkok.
Jumnian Hanchaiyaphoom. (2012) . The Outcome of Learning Management in Bead Stringing of the Learning Content in Arts for Grade 4 Students by Simpson’s Practical Skill Development Model1. Journal of Graduate School, PibulsongkramRajabhat University, 6 (1) , January - June.