ยุทธศาสตร์นโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) กับสถานการณ์ที่สะท้อนผลกระทบต่อระบบสุขภาพของประเทศไทย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) กับสถานการณ์ที่สะท้อนผลกระทบต่อระบบสุขภาพของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและทบทวนสถานการณ์ภายใต้นโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) และผลกระทบที่มีต่อระบบสุขภาพของประเทศไทย ขอบเขตของการวิจัยเป็นการศึกษาครอบคลุมตั้งแต่แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย (พ.ศ. 2547-2551) จนกระทั่งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (พ.ศ. 2553-2557) โดยใช้ระเบียบการวิธีวิจัยแบบการศึกษาเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสารจากข้อมูลทุติยภูมิและข้อมูลตติยภูมิที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์นโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบสุขภาพของประเทศไทย
ผลการวิจัยพบว่า นโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของผู้รับบริการชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยโดยเฉพาะในภาคเอกชน หลังจากประเทศไทยประสบวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ พ.ศ. 2540 โรงพยาบาลเอกชนจึงปรับตัวโดยการเน้นรักษาพยาบาลชาวต่างชาติมากขึ้นเพื่อเข้ามาทดแทนรายได้ที่ลดลง ประกอบกับรัฐบาลเห็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ให้กับประเทศจากการให้บริการชาวต่างชาติ จึงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทั้ง 2 แผน โดยการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดช่วงเวลาของแผนยุทธศาสตร์มีจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นสะท้อนความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากนโยบาย อย่างไรก็ดี การที่แพทย์และพยาบาลวิชาชีพจำนวนหนึ่งลาออกจากการทำงานในภาครัฐในช่วงเวลาดังกล่าวที่สะท้อนภาวะสมองไหลไปสู่ภาคเอกชนที่เป็นผู้ให้บริการหลักแก่ชาวต่างชาติ แสดงถึงผลกระทบประการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับระบบสุขภาพของประเทศไทย
ข้อเสนอแนะจากการวิจัยพบว่า การกำหนดและดำเนินนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางแพทย์ (Medical Hub) ควรให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการกำหนดและดำเนินนโยบาย ทั้งนี้ เพื่อได้รับมุมมองที่รอบด้านในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบสุขภาพหลักของประเทศ อีกทั้งภาครัฐและภาคเอกชนควรจัดตั้งกลไกและแนวทางในการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ร่วมกันโดยเฉพาะทรัพยากรบุคคล เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการให้บริการในภาคเอกชนและภาครัฐที่เป็นผู้ให้บริการหลักในระบบสุขภาพของประเทศ
Article Details
- บทความหรือข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารคุณภาพชีวิตกับกฎหมายเป็
- กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์
เอกสารอ้างอิง
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. (2560). ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. 2560-2569). นนทบุรี: ผู้แต่ง.
ครรชิต พุทธโกษา. (2554). กรอบประเด็นการวิจัยของประเทศไทยให้พร้อมรับสถานการณ์การรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะ
กรรมการวิจัยแห่งชาติ.
เดินหน้า "เมดิคัล ฮับ" เฟส 2. (2553, 24 พฤศจิกายน). โพสต์ทูเดย์, สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2560, จาก https://www.posttoday.com/politic/report/61778
เพ็ญพิสุทธิ์ ศรีกาญจน์. (2557). บริการสุขภาพและบริการสังคม (Health and Social Services). กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง.
ราชภัฏชัยภูมิ, มหาวิทยาลัย. (ม.ป.ป.). รายชื่อคณะพยาบาลศาสตร์ในประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 4 กุมภาพันธ์, 2560, จาก http://nu.cpru.ac.th/thai/?page_id=573
วรรณวิภา ปสันธนาธร, เสาวคนธ์ พีระพันธุ์, กวีพงษ์ เลิศวัชรา, และธวัชชัย บุญโชติ. (2552). รายงานการวิจัย ผลกระทบและการประมวลผลประโยชน์ที่ไทยได้รับจาก
การเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ในภาคธุรกิจบริการสุขภาพ. กรุงเทพฯ: เจริญดีมั่นคงการพิมพ์.
สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2548). ธุรกิจสุขภาพใน profile ภาคบริการ. กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง.
สมานฉันท์ พุทธจักร. (2560, 29 มกราคม). ตรวจสอบ 10 เหตุผล ‘แพทย์ไหลออกจาก รพ.รัฐ’. ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน
2560, จาก http://www.tcijthai.com/news /2017/29/scoop/6707
สํานักการค้าบริการและการลงทุน. (2554). สถานะความพร้อมธุรกิจบริการสาขาสุขภาพและวิชาชีพที่เกี่ยวเนื่อง. นนทบุรี: ผู้แต่ง.
สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ. (2559). ปัญหาพยาบาลไทย ‘ขาดแคลน-กลไกรัฐไม่เอื้อดึงพยาบาลอยู่ในระบบ. สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์, 2561, จาก
https://www.hfocus.org/content/2016/04/ 11- 994
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2556). การสำรวจโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน พ.ศ. 2555. นนทบุรี: ผู้แต่ง.
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม. (2553). คู่มือเพื่อการบริการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์สําหรับผู้ประกอบการตัวแทนท่องเที่ยว. กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง.
สำนักส่งเสริมธุรกิจบริการ. (2555). ธุรกิจบริการรักษาพยาบาล. นนทบุรี: ผู้แต่ง.
อดิศร ภัทราดูลย์. (ม.ป.ป.). แนวคิด ความสัมฤทธิผล และผลกระทบนโยบายประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub of Asia).
กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรุณรัตน์ คันธา. (2557). ผลกระทบและทางออกของการขาดแคลนกำลังคนทางการพยาบาลในประเทศไทย. วารสารพยาบาลศาสตร์, 32 (1), 81-90.
อัญชนา ณ ระนอง. (2554). ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจกับการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพของประเทศ ไทย. วารสารพัฒนบริหารศาสตร์, 51 (1), 47-81.
Cohen, E. (2008). Medical tourism in Thailand. AU-GSB e-Journal [online], 1, 1. Available: http://www.assumptionjournal.au.edu/index.php/AU-
GSB/article/view/381 [2018, March 21].
Institute for Population and Social Research. (2012). Thai Health 2012: Food Security - The illusion of money vs the reality of food. Nakhon
Pathom: Author.
Joint Commission International. (2018). Archive accreditation. Available: http://www. jointcommissioninternational.org [2018, April 25].
NaRanong, A., & NaRanong, V. (2011). The effects of medical tourism: Thailand’s experience. Bulletin of World Health Organization, 89, 336–344.
Pachanee, C. (2009). Implications on public health from Mode 2 Trade in Health Services: Empirical evidence (a case of Thailand). Paper
presented at the Workshop on the Movement of Patients across International Borders - Emerging Challenges and Opportunities for Health
Care Systems, 24-25 February 2009, Kobe, Japan.
Ricafort, K.M.F. (2011). A study of influencing factors that lead medical tourists to choose Thailand hospitals as medical tourism destination.
Research paper, School of Business and Technology, Webster University.