การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนอ่านด้วยการสอน แบบเน้นภาระงานบูรณาการการสอนอ่านเชิงกลวิธีแบบร่วมมือ และเทคนิคสแคมเปอร์เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง

ผู้แต่ง

  • Richavee Chatviriyawong Department of Foreign Language, RTC
  • Wisa Chattiwat Faculty of Education, Silapakorn University

คำสำคัญ:

วิธีสอนแบบเน้นภาระงาน, การสอนอ่านเชิงกลวิธีแบบร่วมมือ, สแคมเปอร์

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ (1) สร้างรูปแบบการเรียนการสอนอ่านด้วยการสอนแบบเน้นภาระงานบูรณาการการสอนอ่านเชิงกลวิธีแบบร่วมมือและเทคนิคสแคมเปอร์เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (2) หาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนอ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 (3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของผู้เรียนจากการทดสอบก่อนและหลังเรียน หลังการสอนด้วยรูปแบบการสอนอ่านที่สร้างขึ้น (4) เพื่อประเมินความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบการสอนอ่าน และ (5) เพื่อประเมินการใช้กลวิธีการอ่านแบบหลากหลายของผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบการสอนอ่าน กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาการบัญชี จำนวน 40 คน ที่ลงเรียนวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ปีการศึกษา 2560 ที่วิทยาลัยเทคนิคระยองโดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง การทดลองใช้เวลา 18 สัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 54 ชั่วโมง

ผลการวิจัยพบว่า1) รูปแบบการเรียนการสอนอ่านด้วยการสอนแบบเน้นภาระงานบูรณาการการสอนอ่านเชิงกลวิธีแบบร่วมมือและเทคนิคสแคมเปอร์เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับระกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงประกอบด้วย 4 องค์ประกอบคือ หลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการเรียนการสอนและการประเมินผล มีชื่อว่า ”CREATE Model„ มี 4 ขั้น คือ ”Conceptualizing„ (C) ”Reacting„ (REA) ”Thinking Creatively„ (T) และ ”Evaluating„ (E) 2) ประสิทธิภาพของรูปแบบการสอน คือ 83.46/ 82.90 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (E1/E2) ที่ตั้งไว้ 3) คะแนนความสามารถในการอ่านหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 4) ผลงานความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนหลังเรียนด้วยรูปแบบการสอนอ่านผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ตั้งไว้ในระดับน่าพอใจ และ 5) การใช้กลวิธีในการอ่านที่หลากหลายของผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบการสอนอ่านโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2018-12-26

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย