สาเหตุและแนวทางการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์ : กรณีศึกษาเรือนจำจังหวัดปทุมธานี
คำสำคัญ:
สาเหตุและแนวทางการป้องกัน, การกระทำผิดซ้ำ, ผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์บทคัดย่อ
การศึกษาสาเหตุและแนวทางการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์: กรณีศึกษาเรือนจำจังหวัดปทุมธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสาเหตุและแรงจูงใจในการกระทำความผิดซ้ำของผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับทรัพย์ 2) ศึกษาแนวทางในการแก้ไขพฤติกรรมและการป้องกันทางด้านกฎหมายกับพฤติกรรมการกระทำความผิดซ้ำของผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์ ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพเชิงคุณภาพ (Qualitative research) โดยการศึกษาเอกสารและทำการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จากผู้ให้ข้อมูลคนสำคัญจำนวน 15 ท่าน ได้แก่ 1) กลุ่มผู้ต้องขังเด็ดขาดคดีลักทรัพย์ในเรือนจำจังหวัดปทุมธานี และ 2) กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เพื่อนำมาสรุปผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์
ผลการศึกษาพบว่า จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดที่เขตพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มีการเปลี่ยนสภาพเป็นสังคมอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย้ายถิ่นฐานของบุคคลที่มีภูมิลำเนาอื่นอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ รวมไปถึงการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม ได้ก่อตัวขึ้นเป็นสภาพสังคมใหม่และแฝงไปด้วยอาชญากรรมตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นั้นกลายเป็นปัญหาอาชญากรรมที่มีอัตราการกระทำผิดเฉลี่ยที่สูงอยู่ในปัจจุบัน ปัจจัยสาเหตุและแรงจูงใจในการกระทำความผิดซ้ำของผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับทรัพย์ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) สภาพสภาวะเศรษฐกิจ 2) สภาพแวดล้อมทางสังคม และ 3) เพื่อน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้กลายเป็นแรงจูงใจหลักที่สำคัญในการกระทำความผิดซ้ำในคดีลักทรัพย์ที่มีความชัดเจนที่สุดในสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน
การแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดในปัจจุบันนั้น มีเพียงผู้กระทำความผิดบางกลุ่มที่สามารถนำเอาความรู้จากการอบรมไปใช้ได้ แต่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตหลังพ้นโทษ คือ การถูกตัดโอกาสในการประกอบอาชีพ การไม่ยอมรับจากสังคม การถูกตีตราว่าเป็นคนขี้คุก ทำให้ผู้กระทำความผิดเหล่านี้ไม่สามารถไปประกอบอาชีพที่เป็นของตนเองได้ เมื่อไม่มีความผูกพันทางสังคมที่จะสามารถยึดเหนี่ยวผู้กระทำความผิดเหล่านี้จึงนำไปสู่การกระทำความผิดซ้ำ ส่งผลให้ผู้กระทำความผิดล้นคุกจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกับระบบกระบวนการยุติธรรมไทย ดังนั้นการทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงจะทำให้สามารถพัฒนาแนวทางการป้องกันและตัดวงจรผู้กระทำซ้ำในความผิดคดีลักทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง
ฉัตรกุล พงษ์ธรรม. (2556).ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์. วิทยานิพนธ์ มหาบัณฑิต, สาขารัฐประศาสนศาสตร์, สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์, กรุงเทพมหานคร.
ตะวันฉาย มิตรประชา. (2557). “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกระทำความผิดซ้ำของเยาวชน เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาเยาวชนภายหลังการปล่อยตัว”. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี. 6(1), 34-46.
พรชัย ขันตี. (2553). ทฤษฎีอาชญาวิทยา : หลักการ งานวิจัย และนโยบายประยุกต์. กรุงเทพฯ: หจก.สุเนตร์ฟิล์ม.
พรชัย ขันตี, กฤษณพงค์ พูตระกลู, และ จอมเดช ตรีเมฆ. (2558). ทฤษฎีอาชญาวิทยา :หลักการงานวิจัยและนโยบายประยกุต์. กรุงเทพฯ:ส.เจริญการพิมพ์.
เรือนจำจังหวัดปทุมธานี. (2563). สถิติจำนวนผู้ต้องขังกระทำความผิดดซ้ำในเรือนจำจังหวัดปทุมธานีในคดีเกี่ยวกับทรัพย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2562. [เอกสารอัดสำเนา].
วีระชัย เหล่าลงอินทร์, เกรียงศักดิ์ ไพรวรรณ, สุวกิจ ศรีปัดถา และพัชนี บูรพันธ์. (2552). การกระทำความผิดซ้ำของผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดมหาสารคาม. วารสารมหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 3(1), หน้า 29-38.
สาธิต บุษยกุล. (2555). สาเหตุการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังชาย กรณีศึกษาเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร.สารนิพนธ์ รัฐประศาสนศาสตร์.มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, กรุงเทพมหานคร.
สุดสงวน สุธีสร. (2552). อาชญาวิทยาและงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สำนักข่าวไทยพีบีเอส. (2562). เงื่อนไข! ใครเข้าข่ายได้-ไม่ได้ รับพระราชทานอภัยโทษ. สืบค้นจาก
https://news.thaipbs.or.th/content/287121
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2562). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560–2564). สืบค้นจากhttps://www.nesdc.go.th/ewt_w3c/main.php? filename=develop_issue
Merton, Robert K. (1986). Social Theory and Social Structure. Glencoe, III: The Free Press.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
