การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาจังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
คำสำคัญ:
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชีวศึกษาจังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 30 คน และครูผู้สอน จำนวน 418 คน รวมทั้งสิ้น 448 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 14 คน และครูผู้สอน จำนวน 196 คน รวมทั้งสิ้น 210 คน โดยเลือกจากการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.837 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) เพื่อศึกษาสถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้ภาวะผู้นำในแต่ละด้านของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาจังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยนำด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดในแต่ละด้านมาสร้างแบบสัมภาษณ์ ซึ่งกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านการบริหารการศึกษา และมีประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง จำนวน 7 คน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ระดับภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา อาชีวศึกษาจังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับ น้อย ปัญหาการดำเนินงานในระดับบุคคล (การเป็นบุคคลรอบรู้ รูปแบบความคิด และการคิดอย่างเป็นระบบ) อยู่ในระดับ น้อย เช่นเดียวกัน ส่วนปัญหาการดำเนินงานในระดับสถานศึกษา (การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน และการเรียนรู้ของทีม) อยู่ในระดับปานกลาง และปัญหาการดำเนินงานด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน
2. สถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้ภาวะผู้นำในแต่ละด้านของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาจังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาพบว่า
1) ด้านภาวะผู้นำแบบสั่งการ ควรมีการจัดกิจกรรมฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนความรู้นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานใหม่จากความคิดที่หลากหลายมุมมอง
2) ด้านภาวะผู้นำแบบขายความคิด ควรจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานเกี่ยวกับนโยบายของโรงเรียนในแต่ละฝ่ายงานเพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน
3) ด้านภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม ควรมีประชุมชี้แจงรายละเอียดของงานเพื่อให้บุคลากรได้รับทราบ ถึงหน้าที่ของตน และบทบาทที่เกี่ยวพันกับผู้อื่นเพื่อให้เห็นถึงภาพรวมของงาน
4) ด้านภาวะผู้นำแบบมอบหมายงาน ควรให้มีการนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายในอนาคตของตนเองและภาพในอนาคตของเพื่อหลอมรวมไปสู่การสร้างวิสัยทัศน์ของโรงเรียน
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2555). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. กรุงเทพฯ.
ณิรดา เวชญาลักษณ์. (2560). ภาวะผู้นำทางการบริหาร. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ณปภัช อำพวลิน. (2557). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแบบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาการบริหารการศึกษา) มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม.
วิโรจน์ สารรัตนะ. (2548). ผู้บริหารโรงเรียน : สามมิติการพัฒนาวิชาชีพสู่ความเป็นผู้บริหารที่มีประสิทธิผล. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : ทิพย์วิสุทธิ์.
สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3. (2563). รายงานสรุปจำนวนบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อประกอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2563 งวด 2. ข้อมูล ณ วันที่ 29 พ.ค. 63.
Hersey, P.& Blanchard, H.K. (1985). Management of Organizational Behavior: Utilizing Human Resources. (6th ed.),
Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall.. (1993). Management of Organizational Behavior. 6th ed. New Jersey: A
Simon & Schuster Company. (2001). Management of Organizational Behavior: Utilizing Human Resources. (7th ed.), Englewood Cliffs, NJ : Prentice-Hall.
House, R. J., & Mitchell, T. R. (1974). Path-goal theory of leadership. Journal of Contemporary Business, 25, 81-87.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
