พฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของประชาชน ในกรุงเทพมหานคร

บทคัดย่อ

           งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของประชาชน ในกรุงเทพมหานคร  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจำนวน 377 คน โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Stage sampling)  เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional study)เก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจง ความถี่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย(Mean) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

          ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 225 คน ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 21-35 ปี คิดเป็นร้อยละ 59.68 การศึกษาปริญญาตรี 163 คน คิดเป็นร้อยละ 43.23 ต่ำกว่าปริญญาตรี 125 คน คิดเป็นร้อยละ 33.15 อาชีพส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัทเอกชน 219 คน คิดเป็นร้อยละ58.09 รองลงมาเป็น นักเรียน นักศึกษา จำนวน 86 คน คิดเป็นร้อยละ 22.81 แหล่งข้อมูลที่ได้รับข่าวสารมากที่สุดเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากอินเตอร์เน็ต  สื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ  จำนวน  358 คน คิดเป็นร้อยละ 94.96

             ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมปฏิบัติในภาพรวม ระดับมาก ( = 2.79, S.D.=0.95) โดยพฤติกรรมปฏิบัติ สูงสุดในระดับมากที่สุด คือหากท่านรู้ตัวว่าใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) ท่านจะแยกกักตัวและสังเกตอาการ 14 วัน ( = 3.56, S.D.=0.72) รองลงมา ระดับมาก คือการใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่อออกนอกบ้าน ( = 3.42, S.D.=0.99) ลำดับต่อมาเป็นด้านหากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) จะรีบไปตรวจคัดกรองทันทีอยู่ในระดับมาก ( = 3.42, S.D.=0.76) และลำดับต่อมาเป็นด้านใช้เจลแอลกอฮอล์ 70 % ฆ่าเชื้อโรคเมื่อสัมผัสพื้นผิว ( = 3.39, S.D.=0.84) และคิดว่าการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (covid-19) เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้ อยู่ในระดับมาก ( = 3.18, S.D.=1.01) ตามลำดับ