การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันทางออนไลน์
คำสำคัญ:
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้, สื่อสารออนไลน์บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันทางออนไลน์ โดนมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันทางออนไลน์ 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันทางออนไลน์ มีความแต่ต่างกันหรือไม่อย่างไร จำแนกตามเพศ สถานภาพ การศึกษา อายุ และสถานภาพบุคคลที่มีลักษณะประชากรศาสตร์แตกต่างกัน การกำหนดขนาดตัวอย่างผู้วิจัยใช้สูตรของ Yamane (1973) ในการกำหนดขนาดตัวอย่างที่ระดับความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่างไม่เกินร้อยละ 5 ได้ขนาดตัวอย่าง จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับงานวิจัยนี้เป็นแบบสอบถามซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องความน่าเชื่อถือของแบบสอบถามจากค่า Alpha อยู่ที่ .95สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ t-test และ F-test ผลการสำรวจพบว่าความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันทางออนไลน์ และองค์ประกอบอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.59 และมีระดับปฏิบัติการการเรียนรู้ร่วมกันทางสื่อสารทางออนไลน์ ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.66 กรณีทดสอบด้วยตำแหน่งงานปัจจุบันเป็นตัวแปรต้น และด้านการเรียนรู้ร่วมกันทางสื่อออนไลน์ ไม่มีความแตกต่างของค่าเฉลี่ยที่ระดับ .05 สำหรับการวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างด้านสถานภาพ การศึกษา อายุ และสถานภาพบุคคล กับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันทางออนไลน์ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เอกสารอ้างอิง
คณะวิทยาการจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ. (2555). รายงานการประเมินตนเองเพื่อรับการประเมินคุณภาพภายในและภายนอกประจำปีการศึกษา 2555. นครพนม : มหาวิทยาลัยนครพนม.
Chitmittraphap, S. (2010). Changing world of 21st century learning and development into“Professional teacher” Cited in Laksaneeyanavin S. (Eds). (2010). Transformative Learning.Association of Professional DevelopmentTeachers and Higher Education Organizations of Thailand. Office of the Higher Education Commission, Ministry of Education (in Thai)
Dabbagh, N., & Kitsantas, A. (2012). Personal Learning Environments, social media, and self regulated learning: A natural formula for connecting formal and informal learning. The Internet and higher education, 15, 3-8.
Ratanamongkolkul, S. (2014). Transformative Learning From experience sharing with learning network for change for medical education in Thailand. Thammasat Medical Journal,14(4), 489-491.(in Thai)
Thomas, M. (2008). Handbook of Research on Web2.0 and Second Language Learning.NewYork : Hershey.
Williams, B. K., & Sawyer, S. C. (2015). Using Information Technology : A Practical Introduction to Computers & Communications, McGraw-Hill Higher Education.
William, Horton. (2000). Designing Web-based training: how to teach anyone anythinganywhere anytime. [Online] Retrieved from
http://books.google.co.th/books?id=NZXNyHtUkTYC&dq=related%3
AISBN0787969796&source=gbs_similarbooks
Wongkritrungruang, W. (2015). From world toThailand, a new direction of learning into the 21st century, Retrievedfromhttp://thaipublica. org / 2015 / 03 /education-for the-future_1 (in Thai).
Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis, Third edition, New York: Harper and Row Publication.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2021 สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
