มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก จากการเผยแพร่ภาพถ่ายและวิดีโอบนสื่อโซเชียลมีเดีย
คำสำคัญ:
การกำหนดเกณฑ์อายุของเด็ก, ประเภทข้อมูลของเด็ก, การเผยแพร่ภาพถ่ายและวิดีโอของเด็กบทคัดย่อ
ในปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศสมัยใหม่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันในลักษณะเศรษฐศาสตร์เครือข่าย หรือที่เรียกว่า (Networked Economy) มีการปรับเปลี่ยน เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วเสมือนดังไร้มีพรมแดนของประเทศ โครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมระหว่างประเทศดังกล่าวนี้ ส่งผลให้โลกมีสภาพเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวงกว้างต่อผู้บริโภคในความเป็นส่วนตัวของบุคคลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยแฉพาะการละเลยต่อความเป็นส่วนตัวของเด็ก อาจเป็นชนวนที่ทำให้เด็ก รู้สึกไม่ปลอดภัย หรือสร้างความอับอายในอนาคตได้ ซึ่งการถูกเผยแพร่ภาพถ่ายและวิดีโอบนสื่อโซเชียลมีเดียโดยครอบครัวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงชีวิตประจำวันของเด็ก โดยที่บิดามารดา หรือผู้ปกครองไม่ทันได้คิดถึงผลที่ตามมาในภายหลัง การใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน หรือแอพพลิเคชั่นในการสนทนาต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพถ่าย แต่ยังรวมถึงวันเกิด ชื่อ ที่อยู่ สถานที่ และชีวิตประจำวันของเด็ก อาจมีการรวบรวม จัดเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จึงควรคำนึงถึงวุฒิภาวะและอายุขั้นต่ำของเด็ก เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการป้องกันการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากการเข้าใช้อินเทอร์เน็ตของเด็ก
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 20 ซึ่งได้กำหนดเกณฑ์อายุของเด็กไว้ตามมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในการทำนิดิกรรมใด ๆ เพียงเพื่อจะได้สิทธิ์ หรือหลุดพ้นจากหน้าที่ ซึ่งเป็นนิติกรรมที่เป็นคุณต่อเด็กฝ่ายเดียว ข้อจำกัดข้างต้นเป็นข้อจำกัดเฉพาะกรณีการทำนิติกรรมเท่านั้น โดยมาตรา 20 (2) กรณีที่เด็กที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครองที่มีอำนาจกระทำการแทนดังกล่าวนี้ เป็นการจำกัดการเรียนรู้ของเด็กจนเกินควร โดยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว มิได้จำแนกการคุ้มครองเกี่ยวกับประเภทข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กไว้โดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีการใช้บริการอินเทอร์เน็ตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มบุคคลในช่วงอายุที่มากกว่า
จากการศึกษาพบว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กจากการเข้าใช้บริการบนอินเทอร์เน็ตจักต้องคำนึงถึงอายุขั้นต่ำในประเด็นที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนมิใช่เพียงแค่เด็กเท่านั้นที่ข้อมูลส่วนตัวของเด็กที่โรงเรียนจัดเก็บไว้นั้นมีหลายประเภท เช่น ข้อมูลส่วนตัว ลายนิ้วมือ ข้อมูลด้านวิชาการ สถิติการถูกลงโทษ ความประพฤติ ข้อมูลทางการแพทย์ ประวัติการค้นหาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ แผนที่บ้าน อีเมลแอดเดรส ไอพีแอดเดรส หรือตารางการเรียนที่สามารถบ่งชี้ถึงเด็กได้ เป็นต้น ซึ่งอาจละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานสำคัญในความเป็นส่วนตัว (Privacy Right) ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy) อันเป็นสิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของข้อมูลสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์การต่าง ๆ
ผู้วิจัยจึงเสนอให้เพิ่มมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเด็กโดยบัญญัติคำนิยามศัพท์คำว่า “เด็ก” ภายใต้เงื่อนไขในการกำหนดอายุขั้นต่ำของเด็กรวมถึงการขอความยินยอมจากผู้ปกครองในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กในการเข้าใช้บริการเว็บไซต์ หรือระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัว โดยเกณฑ์อายุขั้นต่ำไม่ใช่ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องได้รับความยิมยอมจากผู้ปกครองก่อนทุกกรณี จึงควรจำแนกประเภทอายุของเด็กไว้ที่อายุ 16 ปี บริบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและการพัฒนาทางสติปัญญาของแต่วัย อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองจำเป็นต้องสงวนข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กที่สำคัญ ๆ เอาไว้ และจักต้องทำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องความปลอดภัยอันเป็นเรื่องสำคัญที่เด็กต้องรับรู้ถึงการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว และมิให้ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กกลายเป็นข้อมูลสาธารณะภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายแต่ละฉบับ
เอกสารอ้างอิง
การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก: https://www.kaohoon.com/column/417779.
กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ. (2561). สหภาพยุโรป (The European Union - EU). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก: http://www.mfa.go.th/europetouch/th/other/.
กระทรวงการต่างประเทศ. (2551). ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก: http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/udhr-th-en.pdf.
นรินทร์ จุ่มศรี. (2555). มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากการใช้บริการเครือข่ายสังคม วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย์.
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
สัญญา วิริยะอมรพันธุ์. (2554). มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: ในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐ. สารนิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม. (2562). รู้จัก พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล. บทความวิชาการโครงสร้างร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล. กรุงเทพฯ: สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม.
สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์. (2557). การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) ของหน่วยงานภาครัฐ. เอกสารบทความการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์.
อธิพร สิทธิธีรรัตน์. (2558). ปัญหากฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในบริบทอิเล็กทรอนิกส์วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการค้าระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
A Rule by the Federal Trade Commission on. (01,17, 2013). Children's Online Privacy Protection Rule. (Online). เข้าถึงได้จาก:https://www.federalregister.gov/documents/2013/01/17/2012-31341/childrens-online-privacy-protection-rule.
Federal Trade Commmission. Xanga.com to Pay $1 Million for Violating Children's Online Privacy Protection Rule. Civil Penalty Against Social Networking Site Is Largest Ever for a COPPA Violation. (ไฟล์ FTC เลขที่ 062-3073; หมายเลข CIV. 06-CIV-6853(SHS)). (Online ). เข้าถึงได้จาก: https://www.ftc.gov/news-events/press-releases/2006/09/xangacom-pay-1-million-
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
