ศักยภาพการบริหารจัดการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม
คำสำคัญ:
การบริหารจัดการ, ความต้องการ, นักท่องเที่ยว, ชุมชนบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อม และศักยภาพการบริหารจัดการท่องเที่ยว 2. เพื่อศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดในการให้บริการของกิจการในเขตแหล่งท่องเที่ยว 3. เพื่อศึกษาปัญหา และความต้องการผู้ที่เกี่ยวข้องในการบริการจัดการท่องเที่ยว และ4. เพื่อสำรวจพฤติกรรมและความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวในการมาใช้บริการแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม จำนวน 20 คน ผู้ประกอบการและผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม จำนวน 60 คน และนักท่องเที่ยวที่การมาใช้บริการแหล่งท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ซึ่งประกอบด้วย 4 จังหวัด จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ จำนวน 1 ชุด และแบบสอบถาม จำนวน 2 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. แหล่งท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรมอยู่ในตำแหน่งที่มีจุดแข็งโดดเด่นในด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว และด้านการตลาดทางการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นโอกาส โดยเฉพาะกระแสการเดินทางท่องเที่ยวและการเปิดประชาคมอาเซียน แต่สำหรับด้านธุรกิจการบริการ การท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกภาครัฐยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาปรับปรุง รวมทั้งการป้องกันอุปสรรคต่างๆ โดยมีการบริหารงานแบบบูรณาการร่วมกัน และต้องทำการเสริมสร้างพันธมิตร พัฒนาจุดแข็งด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวและการตลาด โดยจะต้องป้องกันข้อจำกัด และเร่งแก้ปัญหาด้านบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพมาตรฐาน และการยอมรับในระดับสากล
2. กลยุทธ์ทางการตลาด/การให้บริการของกิจการ มีการตรวจสอบความปลอดภัยหรือคุณภาพ ของสินค้าหรือการให้บริการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการตรวจไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการอบรมจากโดยหน่วยงานทางราชการ คุณภาพการให้บริการเท่ากับคู่แข่งหรือร้านอื่นๆ และการประกอบกิจการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าคือการให้บริการตามความต้องการของลูกค้า ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้ดึงดูดลูกค้าเข้ามาให้บริการในกิจการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับข้อที่มีค่ามากไปหาน้อย อันดับแรก คือ ผู้ให้บริการมีทักษะในการสื่อภาษาอยู่ในระดับดี/มีอัธยาศัยดี รองลงมา คือ จัดสถานที่ให้เหมาะสม/มีความสวยงาม/สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย และการติดป้ายประชาสัมพันธ์/ตั้งอยู่ในทำเลที่ตั้งสะดวกในการค้นหา ตามลำดับ
3. ระดับปัญหา และความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้องในการบริการจัดการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก อันดับแรก คือ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรมไม่สม่ำเสมอ รองลงมา คือ ขาดความรู้ในด้านการให้บริการกิจกรรมนันทนาการ/ร้านอาหาร และขาดการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวทางสื่อต่างๆ ตามลำดับ
4. พฤติกรรมการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม มีวัตถุประสงค์ในการมาท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางมากับกลุ่มเพื่อน ส่วนใหญ่มาเที่ยว 2-3 ครั้งแล้ว แหล่งท่องเที่ยวที่ต้องการคือโบราณสถาน/วัตถุ ใช้เวลาในการท่องเที่ยว 1 ชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่รู้จักแหล่งท่องเที่ยวจากสื่อออนไลน์ เช่น Face book, Youtube, Line นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกใช้บริการร้านอาหารและเครื่องดื่ม และชำระเงินค่าใช้บริการด้วยเงินสด ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยเข้าชมกิจกรรมนันทนาการฟรี/มีส่วนลดพิเศษกรณีเป็นมาเป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และมีความประทับใจศูนย์การเรียนรู้/การให้ข้อมูลข่าวสาร ส่วนความคิดเห็นการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวและชุมชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก อันดับแรก คือ การให้บริการที่หลากหลายตรงตามความต้องการ รองลงมา คือ สถานที่สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม เหมาะสมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยว และการวางโครงสร้างระบบการบริหารจัดการของเหมาะสม/สะดวกในการใช้บริการ ตามลำดับ
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2559). ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยว ประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม 2/2559 วันที่ 27 มิ.ย. 2559. จากhttp://www.mots.go.th/ ewt_news.php?nid=7698 สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2560). แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564). สำนักกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก: กรุงเทพมหานคร.
เขตพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม. (2560). แผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม พ.ศ. 2560-2564. คณะกรรมการเขตพัฒนาการท่องเที่ยวมรดกโลกด้านวัฒนธรรม (จังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก).
ณัฐกานต์ เพ็งหาพันธ์. (2554). การพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ปริญญาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ณัฐปภัสญ์ สุวรรณาลัย. (2551). สภาพและปัญหาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมภายในเขตเทศบาลเมืองแพร่ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่. การค้นคว้าอิสระปริญญารัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
พรศิริ วิรุณพันธ์. (2551). กระบวนการมีส่วนร่วมของผู้นำท้องถิ่นต่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กรณีศึกษา: วัดพระธาติเรืองรอง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ. โครงการวิจัยและพัฒนาประจำปีงบประมาณ 2551 กองวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ.
พัชรา ลาภลือชัย. (2546). ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการจัดการท่องเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี และตลาดน้ำท่าคา จังหวัดสมุทรสงคราม. ปริญญานิพนธ์ บธ.ม. (การจัดการ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2550). เอกสารการสอนชุดวิชาการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน. นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร และคณะ. (2556). แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชนเผ่าเพื่อความยั่งยืน. Journal of Community Development Research 2013, 6(1): 42-60.
วีระพล ทองมา. (2551). กลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงใหม่. คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้: เชียงใหม่.
Ealine, Ruth. (1984, April). Satisfaction of Tourist in Private Park and Recreation in New York. Dissertation Abstracts International. 44(10): 1120-112A.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
