ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบธุรกิจ และพำนักอาศัยของคนต่างด้าวในประเทศไทย
คำสำคัญ:
คนต่างด้าว, การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว, พำนักอาศัยบทคัดย่อ
การวิจัยปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบธุรกิจและพำนักอาศัยของคนต่างด้าวในประเทศไทยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย มีดังนี้ 1. ศึกษาประวัติความเป็นมาแนวคิด ทฤษฎีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและพำนักอาศัยของคนต่างด้าวในประเทศ ปัญหาข้อเท็จจริงปัญหาข้อกฎหมายใน พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 2.ศึกษากฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวของต่างประเทศ เช่น กฎหมายส่งเสริมการลงทุน (Law on Promotion of Foreign Investment Law on Promotion of Foreign Investment No.11/NA of 22 October 2004) ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, สาธารณรัฐประชาชนจีน, กฎหมายประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวของสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร 3.ศึกษาปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบธุรกิจและพำนักอาศัยของคนต่างด้าวในประเทศไทย 4.เสนอ ปรับปรุงแก้ไข พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542, พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 จากการศึกษาพบว่าคนต่างด้าวที่เข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทยเพื่อประกอบธุรกิจ จาก พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง 2522 มาตรา 34(5) มาตรา 35(3) โดยกำหนดให้คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยสามารถพำนักได้ไม่เกินหนึ่งปีบทบัญญัติข้างต้นกลับเป็นการสร้างภาระให้กับคนต่างด้าวที่มุ่งจะเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพราะจะต้องทำการขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรทุก ๆ ปี ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐที่มุ่งส่งเสริมการลงทุน ส่งเสริมการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ อีกทั้งปัจจุบันก็มีแต่เพียงพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง มาตรา 43 ที่กำหนดว่า คนต่างด้าวที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนในราชอาณาจักรเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท เมื่อคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะอนุญาตให้คนต่างด้าวผู้นั้นมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรนอกเหนือจากจำนวนคนต่างด้าวที่รัฐมนตรีประกาศตามมาตรา 40 ก็ได้ แต่ในปีหนึ่ง ๆ จะเกินร้อยละห้าของจำนวนดังกล่าวมิได้ จากบทบัญญัติมาตรา 43 แสดงให้เห็นว่ารัฐส่งเสริมให้คนต่างด้าวที่มาลงทุนเป็นเงินไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ให้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้ ซึ่งคนต่างด้าวที่สามารถนำเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาลงทุนในประเทศไทยได้ จะต้องเป็นคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก และในยุคปัจจุบันธุรกิจขนาดกลาง (SME) และขนาดย่อมมีจำนวนมาก มีผู้ประกอบการที่เป็นคนต่างด้าวต้องการเข้ามาทำธุรกิจขนดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย เป็นผลให้มาตรา 35 (3) ซึ่งตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2522 นั้น ไม่สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน
จากผลการศึกษา คณะผู้วิจัยข้อสรุป ดังนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจต่างด้าวมีศักยภาพที่สามารถดำเนินธุรกิจ แต่ข้อกำหนด ในด้านกฎหมาย พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลคณะผู้วิจัยเห็นว่าสมควรมีการแก้ไขปรับปรุง มาตรา 36 โดยของเดิมกำหนดว่า ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ที่มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งให้เลิกการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือสั่งให้เลิกการร่วมประกอบธุรกิจ หรือสั่งให้เลิกการถือหุ้น หรือการเป็นหุ้นส่วนนั้นเสีย แล้วแต่กรณี หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษปรับวันละหนึ่งหมื่นบาทถึงห้าหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ ให้มีบทกำหนดโทษที่สูงขึ้นเพื่อเป็นการยับยั้ง ปราบปรามมิให้เกิดการกระทำความผิด และในส่วนของการคนต่างด้าวที่เข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทยนั้นควรปรับระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวของคนต่างด้าวผู้มาประกอบธุรกิจให้มีระยะเวลามากกว่า 1 ปี อาจจะกำหนดเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐ และบริบทเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
นันติยะ มหาเทียน. (2550). ผลกระทบของการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542. นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ. (2547). การวิเคราะห์การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวที่รับจ้างดำเนินงานให้ภาคเอกชน. สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
