ปัญหาการกำหนดคุณสมบัติของทนายความอาสาในคดีอาญา
คำสำคัญ:
การกำหนดคุณสมบัติ, ทนายความอาสา, คดีอาญาบทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัญหาการกำหนดคุณสมบัติของทนายความอาสาในคดีอาญา ซึ่งพิจารณาจากปัญหา 1) การกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ที่จะมาทำหน้าที่ทนายความอาสา 2) พนักงานสอบสวนจัดหาทนายความตามลำดับหมายเลขของบัญชีที่จัดไว้ การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี เอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ แล้วทำการวิเคราะห์เพื่อเสนอแก้ไขกฎหมาย
จากการวิจัยพบว่า ปัญหาการกำหนดคุณสมบัติของทนายความอาสาในคดีอาญา 1) ประกาศคณะกรรมการทนายความอาสา (กทอ) เรื่องการรับสมัครและแต่งตั้งทนายความอาสา โดยในการประชุมคณะกรรมการทนายความอาสา (กทอ) ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 (3) กำหนดให้ผู้ที่จะมาเป็นทนายความอาสาจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 23 ปี ในวันรับสมัคร ซึ่งการกำหนดอายุขั้นต่ำดังกล่าวน้อยเกินไป อาจทำให้ขาดความรอบครอบในการดำเนินคดี และ 2) กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา พ.ศ. 2549 ข้อ 6 ในการจัดหาทนายความอาสา ให้พนักงานสอบสวนจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาจากบัญชีที่กระทรวงจัดส่งให้ตามลำดับหมายเลขของบัญชีที่จัดไว้ การกำหนดบัญชีรายชื่อดังกล่าวผู้ต้องหาหรือจำเลยอาจไม่ได้ทนายความอาสาที่ไม่ตรงกับความเชี่ยวชาญแห่งคดี
ดังนั้นจึงควรแก้ไขกฎหมาย 1) ประกาศคณะกรรมการทนายความอาสา (กทอ) เรื่องการรับสมัครและแต่งตั้งทนายความอาสา โดยในการประชุมคณะกรรมการทนายความอาสา (กทอ) ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 (3) กำหนดให้ผู้ที่จะมาเป็นทนายความอาสาจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี ในวันรับสมัคร ซึ่งจะทำให้เกิดความรอบครอบในการดำเนินคดี และแก้ไข 2) กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา พ.ศ. 2549 ข้อ 6 ในการจัดหาทนายความอาสา ให้พนักงานสอบสวนจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาตามความเชี่ยวชาญแห่งคดีจากบัญชีที่กระทรวงจัดส่งให้ตามลำดับหมายเลขของบัญชีที่จัดไว้ จะทำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีทนายความอาสาที่ตรงกับคดีที่เกิดขึ้น
เอกสารอ้างอิง
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา พ.ศ. 2549
คนึง ฦาไชย. (2556). กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 8 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เดือนตุลาฯ.
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. (2551). ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Right). แปลโดย กรมองค์การระหว่างประเทศ (กรุงเทพมหานคร : กระทรวงการต่างประเทศ, หน้า 1
ชาติชาย กริชชาญชัย. (2527). สิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่จะได้รับทนายความในสหรัฐอเมริกา. ในดุลพาห. ปีที่ 31.
ชีพ จุลมนต์. (2556). สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา : กรณีสิทธิของผู้ต้องหา และจำเลยในการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐโดยการจัดหาทนายความช่วยเหลือทางคดี.
หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 1 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, หน้า 2 – 3.
ชัยณรงค์ เตโช. (2558). สิทธิในการรับทราบข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 : ศึกษาการดำเนินคดีอาญาเจ้าหน้าที่ของรัฐ. วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, หน้า 37.
สุพจน์ จันทราอุกฤษฏ์. (2556). ประสิทธิภาพของทนายความขอแรงกับเงินรางวัล : ศึกษาเฉพาะกรณีศาลจังหวัดหลังสวน. หลักสูตรผู้พิพากษาผู้บริหารในศาลชั้นต้น รุ่น 11.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 มาตรา 68.
บุศรินทร์ ใหม่รุ่งโรจน์. (2551).จริยธรรมของทนายความขอแรงในศาลจังหวัดเชียงใหม่. รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ประกาศคณะกรรมการทนายความอาสา (กทอ) เรื่องการรับสมัครและแต่งตั้งทนายความอาสา โดยในการประชุมคณะกรรมการทนายความอาสา (กทอ) ครั้งที่ 3/2562 วันที่ 23 กรกฎาคม 2563.
ปกป้อง ศรีสนิท.(2552). สิทธิการมีทนายในคดีอาญา. เข้าถึงได้จาก: http://thaiaixois.online.fr/etc/ong_lawer.htm. (ออนไลน์ 13 มกราคม 2564)
วีระ โลจายะ( (2532). กฎหมายสิทธิมนุษยชน. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์.
ณรงค์ ใจหาญ. (2556). หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา. พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน.หน้า 73.
สอาด หอมมณี. (2560). ปัญหาการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายของทนายความขอแรง. วารสารวิชาการศรีปทุม ชลบุรี. หน้า 1 (ธันวาคม 2560 ).
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค และคณาจารย์ท่านอื่นๆในสถาบันฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
