ผลการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องกรด-เบส โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษา

Main Article Content

ทยากร สุขขวัญ
สมศิริ สิงห์ลพ
ปริญญา ทองสอน

บทคัดย่อ

            การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 2) ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาในการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 5) ศึกษาเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ห้องเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 28 คน โดยได้จากการสุ่มห้องเรียนด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) ซึ่งมีการจัดห้องเรียนแบบคละความสามารถ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษา จำนวน 6 แผน 2) แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ 3) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส และ 5) แบบวัดเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การทดสอบค่าเฉลี่ยค่าที
(t-test) แบบไม่อิสระ (Dependent t-test) และการทดสอบค่าเฉลี่ยค่าที (t-test) แบบกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์ (One Sample t-test)  ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5) เจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบสตีมศึกษาในภาพรวมสูงมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.74 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กมล โพธิเย็น. (2562). ความคิดสร้างสรรค: พรสวรรค์ที่ครูควรสรรค์ที่ครูสร้างให้ผู้เรียน. วารสารคณะศึกษาศาสาตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 17(1), 9-27.

กมล โพธิเย็น. (2564). Active Learning: การจัดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 Active Learning: Learning satisfy Education in 21st century. วารสารคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 19(1), 11-28.

กฤษลดา ชูสินคุณาวุฒิ. (2557). รอบรู้เทคโนโลยี กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมคืออะไร. นิตยาสาร สสวท, 42(190), 37-41.

ณัฐพงษ์ เทศทอง. (2564). ผลการจัดการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์ตามแนวคิด STEAM เพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและเจตคติ ต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1. [วิทยานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต].http://ithesisir.su.ac.th/dspace/bitstream/123456789/3532/1/60263309.pdf

ทัศนนันท์ เกลี้ยงไธสง. (2567). ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยสตีมศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 [ปริญญานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต].http://irithesis.swu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/2057/1/gs611130019.pdf

ธัญชนก ธาระเนตร. (2564). ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่องเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 [วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต].http://ir.buu.ac.th/dspace/bitstream/1513/194/1/61920129.pdf

ภาวิณี เทียมดี, ปิยวรรณ พันสี, และ ยุทธนา ชัยเจริญ. (2565). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการ STEAM Education ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานและการเปลี่ยนรูปพลังงาน และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 20(2), 293-306.

มติชนออนไลน์. (2562, 15 ตุลาคม). มติชนออนไลน์:“กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงย้ำครู เป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนได้”.

รัฐติพล สีหะวงษ์, สุภาณี เส็งศรี, ธงชัย เส็งศรี, วราพร อนันตวงศ์ และ นิธิเดชน์ เชิดพุทธ. (2567). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานสะตีมเป็นฐาน เน้นกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารวิจัยและนวัตกรรม สถาบันการอาชีวศึกษา

กรุงเทพมหานคร, 7(2), 254-271.

ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยเพื่อการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 5). สุวีริยาสาส์น.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2022, November 6). ผลการประเมิน PISA 2022. https://pisathailand.ipst.ac.th/

สุธิดา การีมี. (2560). การใช้ กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการแก้ปัญหา ตอนที่ 1. นิตยาสาร สสวท, 46(209).

Ausubel, D. P. (1968). Educational Psychology: A Cognitive View. Rinehart & Winston.

Candy, P. C. (1991). Self-direction for lifelong learning: A comprehensive guide to theory and practice. Jossey-Bass.

Guilford, J. P. (1967). The nature of human intelligence. McGraw-Hill.

Maeda, J. (2013). STEM to STEAM: Art in K–12 is key to building a strong economy. Retrieved from https://www.edutopia.org/blog/stem-to-steam-strengthens-economy-john-maeda)

Weir, J. J. (1974). Problem solving is everybody's Problem. The Science Teacher, 41(4), 16-18.

Yakman, G. (2008). STEAM Education: an overview of creating a model of integrative education.Retrieved September 18, 2018, from https://www.academia.edu/8113795/STEAMEducation an overview of creating a model of integrative education

Yakman, G. and Lee Hyonyong (2012). Exploring the exemplary STEAM education in the US as a practical educational framework for Korea. Journal of the Korean Association for Science Education. 32(6): 1072-1086.