แรงจูงใจในการเข้าวัดของนักศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจและศึกษาเหตุผลการเข้าวัดของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจ(Survey Research) นักศึกษาชั้นปีที่3 (ภาคปกติ) ปีการศึกษา 2559 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จำนวน 524 คน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 207คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเกี่ยวกับ ข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม เหตุผลการเข้าวัด และ แรงจูงใจในการเข้าวัดของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ใช้สถิติที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพอสรุป ได้ดังนี้
ข้อที่ 1. พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในการเข้าวัดนักศึกษา นักศึกษาชั้นปีที่ 3 (ภาคปกติ) ปีการศึกษา 2559คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต อันดับที่ 1 เพื่อการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บรรพบุรุษเป็นความเชื่อของคนไทย( = 4.15), (S.D. = .854) อันดับที่ 2 ทำจิตใจให้สงบ ( =4.12),(S.D.=.798) และอันดับที่ 3 เป็นการแก้บน ( = 3.42), (S.D.= 1.111)
ข้อที่ 2. พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ให้เหตุผล อันดับที่ 1 เพื่อความสบายใจ จำนวน 141 คน คิดเป็นร้อยละ 68.10 อันดับที่ 2 ต้องการที่พึ่งทางใจ จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 61.40 และอันดับที่ 3 ฟังเทศน์ฟังธรรมตามกาลคือเหตุผลในการเข้าวัด จำนวน 93 คน คิดเป็นร้อยละ 44.90
Article Details
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล ถือว่าเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือรับผิดชอบใดๆ
References
กีรติ กมลประเทืองกร. (2551). คุณค่าของการสวดมนต์ที่มีต่อพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย กรณีศึกษา: พุทธศาสนิกชนวัดมหาธาตุยุวราชวี สฤษฏี .(วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย).
ขนิษฐา วิเศษสาธร. (2537). แรงจูงใจทางสังคม. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพ: บุ๊คพ้อย.
จันทรานี สงวนนาม. (2551). ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2: กรุงเทพ.บุ๊คพ้อย.
ไจรัส เจียมบรรจง.(2523).จิตวิทยาสังคม.กรุงเทพฯ.มหาวิทยาลัยพระนคร.
ดำรงศักดิ์ จงวิบูลย์. (2543). แรงจูงใจที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ. (วิทยานิพนธ์ปริญญา:มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์).
ดุษฏี คนแรงดี. (2549). บทบาทขอวัดในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการทำบุญ กรณีศึกษา : วัดสังฆทานและวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ.(รายงานการวิจัย.มหาวิทยาลัยมหิดล).
ถวิล เกื้อกูลวงศ์. (2528) .การจูงใจเพื่อผลงาน. นครปฐม:มหาวิทยาลัยศิลปกรวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.
นาม สงวนทรัพย์. (2535). สารัตถจิตวิทยาสังคม.กรุงเทพฯ:โอเดียนสไตร์.
บุญชม ศรีสะอาด. (2535). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร:สุวิริยาสาส์น.
บุญทนา จิมานัง. 2549). พฤติกรรมการทำบุญของชาวพุทธในเขตอำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยขอนแก่น).
ปรเมศวร์ โพธิ์คล้าย. (2541). แรงจูงใจการเลือกเข้าศึกษาต่อวิทยาลัยนาฏศิลปะในภาคะวันออกเฉียงเหนือ.(ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยมหาสารคราม).
พนิส หันดาคินทร์. (2542). ประสบการณ์ในการบริหารบุคลากร. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มวิทยาลัย (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณทิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย).
พระครูสิริรัตนานุวัตรและคณะ. (2555). อิทธิพลการบนบาน บวงสรวงในสังคมไทย. วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช.
พระอภัย อภิชาโต (ชูชุนทก). (2554). การศึกษาหลักธรรมสำหรับพัฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย).
พระอธิการช่วง ฐิตโสภโน. (2554). ศึกษาคติทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฎในประเพณีสารทเดือนสิบ(แซนโฎนตา). กรุงเทพมหานคร:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย).
วิเชียร เผือกสม. (2553). คติธรรมความเชื่อกับพฤติกรรมการเข้าวัดของพุทธศาสนิกชนกรณีศึกษาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎี. (สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์).
อาทิตยา จารุจินดา. (2546). พฤติกรรมทางศาสนาของคนในสังคมเมือง : กรณีศึกษาวัดสนามนอกและวัดสนามในตำบลวัดชะลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยศิลปากร).
อรวัฒนา ชินพันธ์. (2553). รูปแบบการแสดงละครรำแก้บนประกอบพิธีความเชื่อ : กรณีแสดงที่วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม. มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.