การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนโดยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชนกรณีศึกษา ชุมชุนบ้านท่าคอย อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี
Main Article Content
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาข้อมูลชุมชนท่าคอย ตำบลบางงาม อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ในบริบทการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน 2. เพื่อการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนโดยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชน กรณีศึกษาชุมชุนบ้านท่าคอย อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ศึกษาโดยวิธีวิจัยแบบผสม ข้อมูลเชิงปริมาณรวบรวมด้วยแบบประเมินศักยภาพทรัพยากรท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยให้ชุมชนประเมินตนเอง จำนวน 267 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมสำเร็จรูปด้วยสถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ข้อมูลเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุมชนกลุ่มย่อย และการสังเกตแบบมีส่วนร่วมจากทีมคณะทำงานชุมชน จำนวน 21 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ตรวจสอบและประเมินคุณภาพเครื่องมือด้วย IOC และค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาร์ค ตลอดจนตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าจากแหล่งข้อมูลหลากหลายสำหรับกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดการศึกษาชุมชน (Community study) ศักยภาพทรัพยากรท่องเที่ยวชุมชน(Nature-based Tourism Site Potential; ENTSP) และ แนวคิดการท่องเที่ยวชุมชน(Community-based Tourism; CBT) เป็นฐานคิดสำคัญพบว่า ชุมชนท่าคอยก่อตั้งชุมชนในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยสมเด็จพระนเรศวรที่ได้ทรงแต่งทัพก่อนทำศึกษายุทธหัตถี ปัจจุบันเป็นแหล่งปลูกข้าวและเกษตรกรรมที่มีชื่อเสียง ส่งผลให้ทรัพยากรท่องเที่ยวของชุมชนจึงเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชุมชนเกษตร ได้แก่ แหล่งประวัติศาสตร์ วัด อุโบสถ บ้านเรือน และทรัพยากรการท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับวิถีชุมชนเกษตร เช่น ภูมิปัญญาด้านเกษตรกรรม การทำนา ผลการประเมินศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร 4 มิติ พบว่า ภาพรวมชุมชนมีศักยภาพแหล่งการท่องเที่ยวระดับสูง เหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนเกษตรผลจึงมีกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนในรูปแบบหลากหลาย ภายใต้แนวคิดคำขวัญบ้านท่าคอย “หมู่บ้านประวัติศาสตร์ ตลาดชุมชน ถนนเกษตรกรรม น้อมนำวิถีไทย” ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ข้าวขวัญ สวนแบบผสมผสาน การปลูกเห็ดแบบซีโร่เวส การเพาะและปรับปรุงพันธุ์ชวนชม การเรียนด้านประวัติศาสตร์ชุมชน กิจกรรมการล่องเรือไหว้พระสำคัญ 5 วัด ซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้ส่งผลให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติของสมาชิกชุมชนในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำให้ระบบความสัมพันธ์ในชุมชนพัฒนาไปในทางบวก สมาชิกชุมชนมีจิตสำนึกร่วมในการพัฒนาชุมชนมากขึ้น
Article Details
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร สักทอง : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลับราชภัฏกำแพงเพชร
ข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฎในวารสารเป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะ ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรและบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
เอกสารอ้างอิง
an Operational Definition. Kasetsart Journal Social Science, 31(2), 280-289.
Chankaew, K. (1996). Principles of watershed management. (2 nd ed.). Bangkok : Department
of Conservation, Faculty of Forestry Kasetsart University.
Chairoj, N. (1998). New Travel Management. TAT Review Magazine, 17(2), 12-18.
Choonwattana, B. (2000). Sustainable tourism development. Bangkok : WordPress.
Department of Tourism. (2015). Tourism Statistics 2015. Bangkok : Ministry of Tourism and Sports.
_______. (2016). Tourism Statistics 2016. Bangkok : Ministry of Tourism and Sports.
_______. (2017). Tourism Statistics 2017. Bangkok : Ministry of Tourism and Sports.
Hansapiromchoke, P. (2017). The Approach for Learning Processes Management for Community Planning. Journal of Education Research, 11(1), 99-109.
Pholanan, T. (2002). Mind Map Work Shop. (2 nd ed.). Bangkok : Buzun centre Thailand.
Rattana, K. (2006). Participatory watershed management. Bangkok : Department of Conservation, Faculty of Forestry Kasetsart University.
Tavorn, C. (2013). Social Power of Communities in Mangrove Forest Management, Paklok Bay, Phuket Province, Thailand. Thesis of Doctor degree of Philosophy in Sociology, Khon Kaen University, Khon Kaen.
Tourism Authority of Thailand. (2002). Development and tryout of a tourist's manual on the cultural heritage. Bangkok : Ministry of Tourism and Sports.
Wanichritta, T. (2007). Knowledge management in community : a case study of ecotourism management by participation of the community, samut Songkhram province. Thesis of Master of Education, Silpakorn University.