Digital technology : กับบทบาทของประชาชนอาสาสมัคร/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการควบคุมสภาพแวดล้อมไม่ให้เอื้อต่อการระบาดของโรคไข้เลือดออก: (กรณีศึกษาตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่)
DOI:
https://doi.org/10.14456/rcmrj.2019.158404คำสำคัญ:
เทคโนโลยีดิจิตอล, อาสาสมัครสาธารณสุข, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, การระบาดของโรคไข้เลือดออก, ตำบลร้องวัวแดง, อำเภอสันกำแพง, จังหวัดเชียงใหม่บทคัดย่อ
โรคไข้เลือดออกเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญเกือบทุกพื้นที่ในประเทศไทย ยุงลายเป็นพาหะที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้โรคไข้เลือดออกระบาดหรือแพร่กระจายไปได้ ถ้าไม่มียุงถึงแม้จะมีผู้ป่วยจากโรคไข้เลือดออกจากที่อื่นมาอาศัยในชุมชนก็ไม่สามารถทำให้เกิดการระบาดของโรคได้เพราะไม่มีพาหะของโรค การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประชาชน(อาสาสมัครสาธารณสุข)และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังควบคุมลูกน้ำยุงลายในชุมชนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิตอล
มีวิธีดำเนินงานดังต่อไปนี้ 1) สร้าง Application ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ สำหรับอาสาสมัครประชาชนและ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้รายงานผลการสำรวจลูกน้ำยุงลายให้มีความสะดวกและรวดเร็ว 2) พัฒนาระบบปฏิบัติการให้สามารถแสดงผลการสำรวจรวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลายของชุมชนโดยแสดงผลทาง Website แบบ Real time 3) ส่งข้อความ (Short message service, SMS) แจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องทั้งภาคส่วนสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อค่า House index (HI) หรือ Container index (CI) เกินเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อจัดการกับปัญหาอย่างทันท่วงที 4) ใช้ข้อมูลจากระบบปฏิบัติการเป็นข้อมูลนำเข้าในการประชุมวางแผนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการประชุมประจำเดือนเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา
ผลการดำเนินงาน พบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลร้องวัวแดงและอาสาสมัครในพื้นที่ได้มีส่วนในการเฝ้าระวังลูกน้ำยุงลายอย่างเต็มพื้นที่ มีอาสาสมัครเข้าร่วมในการเฝ้าระวังจำนวน 160คน ซึ่งประกอบด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขและประชาชนทั่วไปโดยมีการรายงานผลการเฝ้าระวังทุกสัปดาห์กระจายอยู่ครบทุกหมู่บ้าน มีการนำข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังไปใช้ประกอบการประชุมและร่วมกันแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องทุกเดือน จากการดำเนินงานดังกล่าวทำให้การทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงและการปรับสภาพแวดล้อมในชุมชนไม่ให้เอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลทำให้จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกในพื้นที่ลดลง กล่าวคือจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา (ก่อนดำเนินโครงการ) พบว่า ในปี พ.ศ. 2559 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกในเขตตำบลร้องวัวแดง จำนวน 3 ราย ในปี พ.ศ. 2560 จำนวน 3 ราย ส่วนในปีปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2561 พบผู้ป่วยไข้เลือดออก จำนวน 1 ราย เป็นผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไข้เลือดออกจากพื้นที่อื่นเข้ามาอยู่ในชุมชนนี้ และไม่มีการแพร่ระบาดของโรคไปยังผู้อื่นในชุมชน บทเรียนจากการดำเนินงานจากพื้นที่นี้สามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่นๆที่ต้องการเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมในชุมชนเพื่อไม่ให้เอื้อต่อการระบาดของโรคไข้เลือดออกและต้องการการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการแก้ปัญหาการระบาดของโรคไข้เลือดออก
References
พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2542. (2542). ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 113, ตอนที่ 36 ก.
โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์. (2561). โรคไข้เลือดออก..ภัยจากยุงตัวร้าย. สืบค้นจาก https://www.siphhospital.com/th/news/article2/share/92/dengue
ศูนย์ผ่อดีดีกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ PODD. (2561). โครงการผ่อดีดีระบบเฝ้าระวังสุขภาพหนึ่งเดียวของชุมชน. สืบค้นจาก https://www.cmonehealth.org/home
สถาบันพระปกเกล้า. (2561). บทบาทหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล. สืบค้นจาก https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่. (2561). รายงานประจำสัปดาห์โรคไข้เลือดออกจังหวัดเชียงใหม่. สืบค้นจาก https://www.chiangmaihealth.com
สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2561). ค่า HI, CI. สืบค้นจาก https://phdb.moph.go.th/phdb2017/force_down.php?f_id=194
องค์การบริหารส่วนตำบลร้องวัวแดง. (2561). ข้อมูลทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลร้องวัวแดง . สืบค้นจาก https://www.rongwuadang.com/
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
1. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน “Community and Social Development Journal” ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Community and Social Development Journal มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และเพื่อให้เผยแพร่บทความได้อย่างเหมาะสมผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์ ผู้เขียนยังคงถือครองลิขสิทธิ์บทความที่ตีพิมพ์ภายใต้ใบอนุญาต Creative Commons Attribution (CC BY) ซึ่งอนุญาตให้เผยแพร่บทความซ้ำในแหล่งอื่นได้ โดยอ้างอิงต้องอ้งอิงบทความในวารสาร ผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการขออนุญาตผลิตซ้ำเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์จากแหล่งอื่น
2. เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสารเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ